เชื่อไหม? มีแค่ 2 อย่างที่ธุรกิจพังหรือเจ๊ง!! (2)

by

| Home » บทความธุรกิจ-การตลาด » การบริหาร การจัดการ » เชื่อไหม? มีแค่ 2 อย่างที่ธุรกิจพังหรือเจ๊ง!! (2) |


บทความธุรกิจตอนนี้ เหมาะสำหรับคนที่ทำธุรกิจใหม่ หรือในธุรกิจ SME อย่างมาก อยากให้คนที่คิด หรือเริ่มทำอยู่ได้อ่านกันทุกคน ใครคิดว่ามีประโยชน์ก็แบ่งปันไปยังเพื่อนฝูง ญาติมิตรที่กำลังเริ่ม หรือคิดทำธุรกิจดู น่าจะได้ความรู้ แง่คิดไปไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีกลยุทธ์ธุรกิจ การตลาดมานำเสนอ แต่นี่สำคัญยิ่งกว่าเสียอีก เพราะก่อนจะก้าวหน้า มันก็ต้องยืนให้ได้ก่อน นั่นคือไม่เจ๊ง เรามาดูกันต่อจากปัญหาการเงินว่า ปัญหาหรือปัจจัยอะไรที่ทำให้เจ๊ง เรื่องต่อไป.. (ย้อนอ่านตอนที่ 1)

ฟังบทความนี้ในรูปแบบ Podcast ตามช่องทางเหล่านี้

ฟังบน Youtube

ก็เพราะคนคือปัจจัยที่ผันแปรง่ายที่สุด และไว้ใจยากที่สุด

การบริหารคน

ใช่แล้วครับ นอกจากเรื่องการบริหารการเงินแล้ว ก็การบริหารเกี่ยวกับคนนี่แหละที่ทำให้ธุรกิจพังหรือเจ๊ง แต่ไม่ได้กำลังพูดถึงการบริหารคนในแง่ ลูกน้อง, HR หรือ HRD เชิงอัตรากำลัง เหล่านั้นมันแก้ปัญหาได้ แต่มันหมายถึง “คน” ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจของเรา ผมพาเข้าตัวอย่างเลยดีกว่า

  • หุ้นส่วน : ที่ส่วนใหญ่นำมาซึ่งปัญหาการจัดการในทุกๆ ด้านได้ นี่ปัจจัยแรกจริงๆ เพราะมีหลายกรณีมากที่ทำธุรกิจร่วมกันแล้วผลออกมาในภายหลังว่า ไม่เราก็เขาที่พัง หุ้นส่วนที่ดี มีครับ บนความชัดเจนกันแต่เริ่มทุกๆ ฝ่าย และต่อมาแบ่งปันกันบริหารทั้งการงานและการเงินได้ดี และหากเมื่อใดคิดว่ามันไม่เท่ากันมันพังได้จริงๆ ซึ่งการจัดสรรประเภท คนหนึ่งลงเงิน คนหนึ่งลงแรงหรืออื่นๆ แบบนี้มักไปไม่รอดเพราะถ้ากิจการดีไปได้สักพัก อีกฝ่ายจะรู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายไม่จำเป็น “ทำเป็นแล้วเรื่องอะไรต้องแบ่ง มีทุนเองแล้วเรื่องอะไรต้องแบ่ง” อาจไม่ได้คิดแบบนี้โดยตรง แต่พอเริ่มมีปัญหา การคิดแบบนี้มันจะมา.. อธิบายเพิ่มให้ชัดๆ กันไปแต่ละประเภท
    • หุ้นส่วนทางการเงิน เราจะไม่พูดกรณีค้าขายหรือทำธุรกิจไม่ดีแล้วมีปัญหา ดีมันก็มีปัญหาได้ เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นอาจอยากไปทำเอง ไม่อยากแบ่ง หรือมีทุนมากกว่าเลยทำแข่งดื้อๆ ในทางกลับกันก็ไม่ได้คิดจะถอนทุน แยกตัวไปไหน แต่.. ไม่ช่วยอะไรเลย อีกฝ่ายก็ย่อมรู้สึกว่ามันเอาเปรียบกันเกินไป แท้จริงแล้วมันก็จะผิดก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้ตกลงกันไว้แต่แรกในหน้าที่การงานแค่หารเงินกันลงไป สุดท้ายการถอนทุนเอย การแข่งกันเองเอย นำมาซึ่งความย่ำแย่ และปิดตัวกันไปได้ในทันที
    • หุ้นส่วนผู้จัดการ
      ไม่ได้หมายความว่าตำแหน่งผู้จัดการ แต่หมายถึงเป็นผู้จัดการงานบางอย่าง ที่อีกฝ่ายอาจต้องพึ่งพาคนนี้ ยกตัวอย่างธุรกิจคล้ายเดิมที่ผมให้คำปรึกษามามาก คือ สปา คนหนึ่งนวดเป็นทำเป็น อีกคนไม่เป็นแต่มีเงิน ลงทุนร่วมกัน ถ้าดี คนที่นวดทำก็จะรู้สึกว่าเหนื่อยอยู่คนเดียว.. ก็ออกไป ซึ่งการหาคนแทนเรื่องแบบนี้ถ้ามันง่ายก็ดี แต่ส่วนใหญ่ไม่ง่าย เพราะเจ้าของที่ไม่เป็นไม่รู้ ก็ไม่สามารถคัดสรรพนักงานที่ดีได้ ซึ่งกรณีนี้ต่อให้ทำร้านดียังไงแต่ไม่มีคนให้บริการมันก็ทำเงินไม่ได้ เจ๊งไปตามระเบียบ ซึ่งไม่ใช่แค่ธุรกิจนี้ มีอีกหลายรูปแบบคล้ายคลึง แม้กระทั่งรูปแบบที่ควรจะมีหน้าที่จัดการดันไม่จัดการ ปล่อยละเลยการงานไปเฉยๆ สรุปง่ายๆ ประเด็นนี้ก็คือ ไว้ใจให้เขาทำ ถ้าเขาไม่(อยู่)ทำ กำไรกับรายได้ที่ไหนจะเข้ามา อีกรูปแบบหนึ่งคือ วิสาสะไปจัดการบางอย่างที่เสียหาย หรือง่ายๆ คือใช้สิทธิเครดิตตัวเองบ้าง เอาของไปบ้างอะไรทำนองนี้ นี่มันทำให้การดำเนินการเสียหาย หรือกรณีเป็นเครดิต การเงินในร้านมันมีปัญหาได้ ก็โยงไปเรื่องในตอนที่แล้วได้
    • หุ้นส่วนไม่เป็นทางการ หุ้นส่วนที่ไม่เป็นทางการนี้ภาษาธุรกิจเราอาจจะเรียกว่า Supply Chain แต่มันไม่ใช่แค่ Supply Chain ธรรมดา เพราะถ้าธรรมดาก็หาใหม่แก้ไขกันไป แต่ในที่นี้คือบางทีเคยเป็นคนที่ตกลง เจรจากันไว้ ไม่ว่าจะผู้เช่า ผู้ส่งของให้ หรือช่วยในกิจการด้านใดด้านหนึ่งที่สำคัญ แต่ต่างไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกัน จนวันหนึ่งกิจการกำลังไปได้ดี เขา(ผู้นี้) ก็มาทิ้งกันไป เช่นไม่ให้เช่าที่ต่อ ไม่ส่งของให้อีกแล้ว หรือบางทีขายเอง(แข่ง)  เช่นนี้ยังไงกิจการก็ไปรอดยาก
  • คนโกง : ไม่น่าจะต้องอธิบายอะไรมากในข้อนี้ อย่างดีก็อาจแยกย่อยไปหน่อยได้ว่า โกงมาก โกงน้อย เพราะถ้าน้อยก็ไม่เจ๊ง แต่ถ้านานหน่อยก็ไม่แน่
  • คนในทีมบริหาร : อย่าทำเป็นเล่นไปในการคิดจะเอาใครก็ได้เข้ามาอยู่ในการบริหารจัดการ ธุรกิจเล็กใหญ่เป็นไปได้หมด มันคล้ายกรณีที่เอาคนไม่เหมาะสมมาเป็นหัวหน้าส่วนงาน หรือให้ขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่าง ถ้าเป็นแค่ หัวหน้ามันไม่เป็นไรแค่วุ่นวาย แต่ไม่เจ๊ง แต่ถ้าอยู่ทีมบริหารเมื่อไหร่ ก็คล้ายๆ กับโดนวางยา เรื่องนี้เห็นและเจอมากับตัว กู้ชีพบริษัททัน มันก็รอดตัว กู้ไม่ทันมันก็รอวันเจ๊ง หลายคนอาจสงสัย แล้วคนนั้นเขาทำอะไร ที่จริงไม่ได้ทำอะไรแบบเห็นได้ชัด ไม่ได้โกง ไม่ได้ถึงขั้นเลว แต่ให้ลองนึกๆ ดู เปรียบกับระดับหัวหน้างานที่ไม่เหมาะสม ก็มีหลายๆ สาเหตุ มันก็ทำให้องค์กร ป่วยได้ไม่มากก็น้อย เช่น ลูกน้องส่วนงานนั้นดื้อแพ่ง ส่วนงานนั้นงานไม่ค่อยเดิน ปัญหาเยอะ จริงๆ มันก็เหมือนกับพิษ (toxic) และดังที่บอกว่าแค่เป็นหัวหน้าปัญหาจึงไม่เท่าไหร่ แต่หากมีอำนาจมากกว่า ลองเปรียบง่ายๆ แค่ว่าทีมบริหารไม่ถูกกัน องค์กรมันจะเป็นอย่างไร? เพราะมันก็ยากว่าใครจะคานอำนาจใคร สุดท้ายต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไป ถ้าคนไม่เก่ง ไม่ดีเป็นฝ่ายไป ก็ไม่เป็นไรเพราะอะไรๆ คงดีขึ้น แต่หากคนเก่ง คนดีไป และอยู่ในฝ่ายบริหาร การจะหาคนมาแทนนั้นมันไม่ง่ายเลย ทั้งผลงานการก้าวหน้าอะไรหลายๆ อย่าง บางทีคนๆ ในทีมบริหารนี้ต้องมีส่วนอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ต่อให้เป็นช่วงที่ไม่มีใครไปมันก็คล้ายสงครามกลางเมืองอยู่ดี ไม่มีอะไรดีต่อเมืองนี้เลย เมื่อขาดสิ่งดีๆ เป็นแกนนำ ผู้ตามย่อมทำไปตามหน้าที่ นี่คือเรื่องเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ชัดเจน
  • คนในกระจก / เจ้าของ : มักจะมาจากนิสัยนิสัยบางประการ หูเบา ความมือเติบ ความเป็นนักพนัน เอาแต่ใจ ยึดติดจากคนในทีมบริหาร อาจไม่ส่งผลเร็วเท่าใด แต่ผลมันง่ายกว่าถ้าคนนั้นเป็นเจ้าของเสียเอง หรือเป็นเราคนนั้นแหละ เชื่อหรือไม่ว่า คนในทีมบริหารนั้นทำให้เสียหายได้จริง แต่บางที 2 สิ่งนี้ก็ไปด้วยกัน คือมองไม่เห็นสิ่งที่เป็นไป และไม่ใช่แค่ไม่เห็นคนในทีมบริหาร แต่ก็เป็นตัวเองที่บริหารผิดพลาด ใช้เงินมาก อะไรต่างๆ มากมาย แต่ไม่เอาเรื่องเงินมาพูดซ้ำซ้อนอีกในประเด็นนี้จะดีกว่า

เหตุผลที่คนในกระจก หรือเจ้าของทำเสียหายก็คือ แก้ปัญหาไม่ได้ กับไม่มีวิสัยทัศน์ ที่ผมบอกไว้ว่าจริงๆ มันมีเหตุผล 2+1 และนี่คืออีก 1 ที่ว่า

ไม่มีวิสัยทัศน์

ธุรกิจยักษ์ใหญ่ ก็ล้มได้เพราะวิสัยทัศน์ผิดพลาด ซึ่งมากมาย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ธุรกิจเล็กๆ ก็ไม่เหลือ ในธุรกิจใหญ่ๆ นั้นอาจไม่ใช่จากการตัดสินใจของคนๆ เดียว แต่ธุรกิจเล็กๆ นั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าย่อมมักมาจากเจ้าของ อะไรคือนัยยะของการที่บอกว่าไม่มีวิสัยทัศน์ “แก้ปัญหาไม่ได้ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต” ซึ่งคงยากจะขยายว่าปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นในอนาคตก็คงไม่พ้นการ “ไม่ยอมปรับตัว” รับกับสิ่งต่างๆ ซึ่งตัวอย่างเยอะจนขี้เกียจเขียน นี่ไม่ได้หมายความแค่เรื่องเทคโนโลยี หรือสังคม การที่องค์กรใหญ่ขึ้น โรงงานใหญ่ขึ้น อะไรๆ เติบโตขึ้น แต่ยังใช้วิธีการเดิมๆ บริหาร มันใช้ไม่ได้หรอกครับ ยึดโยงกับความสำเร็จเก่าๆ เดิมๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ไม่นาน เหล่านี้เชื่อว่าคงเห็นภาพชัด แล้วถามว่าถ้าให้ชี้ชัดว่า ปัญหาคน ตรงนี้มาจากไหน ตอบแบบตรงไปเลยก็คงบอกได้ว่า “ไม่หาความรู้” รู้เองไม่ได้ ก็ต้องให้คนรู้มาช่วย หยุดรู้ก็คือถอยหลัง และมันพังได้จริงๆ

จากใน 2 ตอนที่เขียนแบ่งปันมา ส่วนหนึ่งยอมรับว่าเขียนไม่ได้ลงรายละเอียดนัก แต่หลักๆ ก็น่าจะเห็นภาพ เข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งใช่ว่าต้องเก่ง หรือจะเก่งอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่ได้ทำ เริ่มทำ หรือกำลังจะทำ ถ้าจำไปใส่ใจในสิ่งเหล่านี้ก็มีภูมิคุ้มกันที่ดี ยากที่จะเจ๊งแน่นอน!!!

เหตุที่ธุรกิจพังหรือเจ๊ง ปัญหาบุคลากร

Sirichaiwatt Avatar
วิทยากร คอลัมนิสต์ นักเขียน นักคิด ที่ปรึกษา อิสระ ปัจจุบันประกอบอาชีพหลัก พ่อบ้าน :P ส่วนวิทยากร ธุรกิจส่วนตัว และอื่น ๆ เป็นอาชีพรอง.. V(^0^)V
แสดงความคิดเห็น