Site icon Sirichaiwatt

ถ้าธุรกิจไม่มี Facebook!?

ถ้าเราทำกิจการ, บริษัท, ธุรกิจ, หรือร้านค้า โดยไม่มี Facebook ได้ไหม? คำตอบในปี พ.ศ. 2563 นี้เห็นที่จะไม่ได้ แม้จะจำเป็นที่สุดต่อธุรกิจหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ก็คิดในทำนองว่า “มี ดีกว่า ไม่มี” แต่ถ้าเราไม่มี Facebook ขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ?…

จากประเด็นข่าวในช่วงเดือน สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา การพยายามปิดกัน “กลุ่ม” ใน Social media คือ Facebook ของประเทศไทย ซึ่งประเด็นปัญหาจากเรื่องการเมือง โดยในทีนี้จะพูดในแง่ บทความธุรกิจ จึงไม่ได้เขียนเกี่ยวข้องกับเนื้อหา หรือมีความเห็นต่อข่าวนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่จากประเด็นดังกล่าวทำให้คิดได้ว่าหากประเทศไทยเราแบน (ban) Facebook  ม่ให้ใช้ขึ้นมาเหมือนประเทศจีนจะเป็นอย่างไร?..

เบื้องต้นภาคประชาชนทั่วไป (ที่ไม่เกี่ยวด้านการค้าขาย) คงมีความเดือดร้อนแตกต่างกันไป เริ่มจาก เสียดายรูปภาพ, เสียดายเรื่องราวที่เคยโพสต์ เคยเขียน, กลัวหาเพื่อนไม่เจอ ต่อมาก็จะมีปัญหาเรื่องการผูกบัญชี คือใช้ Facebook สำหรับล๊อกอิน อาจจะจำไม่ได้ว่าผูกเว็บไซต์ หรือบริการไหนไว้บ้าง (ส่วนตัวผมไม่ค่อยจะผูกอะไรที่สำคัญ ๆ เพราะความสะดวกก็จะแลกมาด้วยความปลอดภัย)

ซึ่งเชื่อว่าแม้จะกระทบในวงกว้าง แต่ก็น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น เพราะที่สุดแล้วแง่ผู้ใช้ทั่วไป ก็สามารถใช้ตัวอื่น แอพอื่น ทดแทนไปในที่สุด (ต่อไปจะขอเขียนคำว่าเฟซบุ๊ก Facebook สั้น ๆ เป็น FB)

ถ้าธุรกิจไม่มี Facebook แล้ว?

แต่ถ้าเป็นภาคธุรกิจล่ะ ไม่ว่าจะค้าขายทั่วไป ไปจนบริษัทใหญ่ ผลกระทบอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ลองมาช่วยกันคิดวิเคราะห์ดู แน่นอนว่าประเด็นหลัก ๆ คงเป็นเรื่องแง่มุมทาง “การตลาด” สำหรับผมจะแบ่งเป็นข้อ ๆ โดยผลกระทบย่อมมีความแตกต่าง ขึ้นอยู่กับประเภท และขนาดของธุรกิจ ทีแรกผมก็จะเขียนแยกกันระหว่างประเภท กับขนาด เพียงแต่บางมุมก็ไม่ต่างกันจึงนำมาเป็นข้อย่อยเดียวกัน ดังนี้

การเปลี่ยนแปลงของอาชีพ

นอกจากคนทำธุรกิจแล้ว ยังมีบางสาขาอาชีพ ที่เกิดและเติบโตมาแบบพึ่งพา FB 100% เช่น โค้ชสอนยิงแอดโฆษณา, คนทำเพจรีวิว ต่าง ๆ Influencer หรือเพจดัง ๆ ที่ได้รับสปอนเซอร์เป็นหลัก หรืออาชีพจำเพาะอื่น ๆ ที่ผมสรุปออกมาได้ไม่หมดและมีที่เรายังไม่รู้อีกพอสมควร กลุ่มเหล่านี้ถ้าเป็นธุรกิจก็อาจเรียกได้ว่าเสี่ยงที่จะเจ๊งกว่าใคร เพราะคงหมดโอกาสสร้างรายได้ไปในทันที

โดยรวมแล้วกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างจากคนค้าขายบางกลุ่มดังที่กล่าวไป เพราะพึ่งพาอาศัย FB มาก ทางรอดคือต้องนับ 1 ใหม่ แต่ก็ไม่ง่าย และไม่อาจมั่นใจในทิศทางและผลลัพธ์ที่จะออกมา

แง่ผู้บริโภค

มีไม่น้อยที่เรามักจะเป็นแฟนสินค้า หรือเชิงธุรกิจอาจเรียกว่าเป็นกลุ่มลูกค้าภักดี (loyalty) ที่ต้องเจอความยุ่งยากในการติดตามสินค้าที่เราชื่นชอบ แต่แนวทางการปรับตัวก็ไม่ต่างจากการใช้งานประจำวัน คือเชือว่าน่าจะมีแอพอื่นมาแทนที่ให้เราได้ติดตามเหมือนเดิม

ส่วนใหญ่แล้วพฤติกรรมที่มีต่อสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคมักใช้บน FB คือ ดูความสดใหม่ ความเคลื่อนไหวปัจจุบัน อาจเรียกได้ว่าเป็นการตรวจสอบ หรือต้องการใช้เพียงเป็นข้อมูลประกอบ มากกว่าตัดสินใจในทันที การไม่มี FB กับยุคสมัยนี้ พฤติกรรมอาจไม่เปลี่ยนแค่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม หรือแอพไปก็เท่านั้น

ความคุ้นชิน หรืออะไรที่เราเคยชินแล้วมันย่อมทำให้รำคาญใจเมื่อต้องถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลง ใหม่ ๆ ผู้ใช้ผู้บริโภคหลายคนก็อาจไม่อยากปรับตัว แต่หากเกิดขึ้นจริงความเคยชินในการมี Social Network ก็เป็นตัวแปรเช่นกันให้คนหันไปใช้ตัวใหม่แทนที่ได้ไม่ยาก เพราะหลายคนเริ่มขาดมันไม่ได้..

ยากจะเกิดขึ้นจริง

บทความนี้เริ่มเขียนจากการที่เริ่มมีประเด็นทางการเมือง ซึ่ง ณ วันนี้น่าจะเบาบางและไม่ได้เป็นประเด็นอะไรแล้ว และคงยังไม่เกิดขึ้นจริง และยากที่จะเกิดการแบน Facebook แต่สิ่งหนึ่งที่ธุรกิจในประเทศกำลังประสบ หรือหลายรายยังไม่เข้าใจมากพอคือ การที่เศรษฐกิจของประเทศเรากำลังพึ่งพาต่างประเทศอย่างมาก เราเคยเป็นภาคการเกษตรรายใหญ่ เราเคยเป็นฐานการผลิต เราเคยเป็นแหล่งลงทุน ถ้าคิดดี ๆ สิ่งที่เราเคยเป็นนี้คือ “ต่างประเทศต้องการเรา”

แต่การกลายเป็น “ประเทศท่องเที่ยว” เป็นหลักขึ้นทุกวันนั้นมันหมายความว่า “เราต้องการต่างประเทศ” มากเกินไป มิหนำซ้ำภาคการลงทุนที่ไม่น่ามั่นใจจากความมั่นไม่คงทางการเมืองมาหลายปี ที่ผมไม่อาจสรุปว่าใครผิดถูกอย่างไร แต่สุดท้ายหลายคนอาจไม่ได้มอง เพราะผลลัพธ์มันเกิดช้า ทุนใหญ่ ๆ ไม่มีใครถอนการลงทุนได้โดยทันทีทันใด แต่ถ้าย้อนมองไปมันหายไปเยอะแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหากมองลงลึกไปจะพบว่าการมีปัญหากับ Facebook นั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระในเชิงธุรกิจโดยรวมของประเทศไปเลย…

บทความฉบับปรับปรุง เผยแพร่ครั้งแรก Facebook Sirichaiwatt เมื่อ 07/09/2020

Exit mobile version