ยุคนี้เราโทษเรื่องความเหลื่อมล้ำได้ เพราะมันมีอยู่จริง โลกทุนนิยมที่มีมานับสิบปียังไม่นานพอที่จะให้บทเรียนต่อสังคมโลก แต่กำลังชัดขึ้นและส่งผลแรงขึ้นทุกวัน กล่าวไปก็ดูจะไกลตัวและเราทำอะไรไม่ได้ หากสรุปแบบไม่ต้องที่มาที่ไปคือ ยุคนี้ “อ่อนแอก็แพ้ไป” เพราะหากมัวจะมาอ้างว่าไม่มีต้นทุน ไม่มีโชค ไม่มีโอกาส มันก็เท่านั้น มิอาจพาตัวเองหลุดพ้นขึ้นมาได้ด้วยการบ่น อ้าง
ในมุมหนึ่งเคยเขียนไปแล้ว หรือเคยได้ยินกันมาบ้างว่าโอกาสมีอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าจะมองเห็นหรือไม่ และโอกาสไม่ใช่การรอ แต่เป็นการไขว่ขว้าหรือสร้างขึ้นมา นั่นก็ยังคงจริง และในส่วนหนึ่งที่ต้องพูดตรง ๆ (จะยอมรับความจริงหรือไม่ก็ตาม) คือ ไม่ใช่เราไม่เคยได้ ไม่ใช่มันไม่มี แต่ไม่เคยเข้าใจและรักษาไว้ได้ในโอกาสเลยต่างหาก
เพราะมีไม่น้อยที่เข้าใจหรือคิดเอาเองว่า “โอกาส” คือ รางวัลที่ 1 หมายเพียงว่าหากใครให้ “โอกาส” มันต้องทำให้ตั้งตัวได้ทันที รับโอกาสนั้นแล้วต้องดีขึ้นทันที หรือคำว่าโอกาสคือไม่ต้องฝ่าฟัน ก้าวผ่านอะไรเลย..
หากเปรียบคนที่กำลังลำบากเป็นคนหลงป่า แล้ว “โอกาส” คือมีคนมาชี้ทางบอกว่า “ตรงไปทางนี้จะเจอทางออก” หรือไม่ก็ “ตามเขามาสิ” แล้วเราบางคนพอเดินไปไกลหน่อยก็เลิกเชื่อ, เจอความรก, เจอขวากหนาม, เหนื่อย ลำบากก็จะถอย หรือหันไปหาทางอื่น เปลี่ยนไปฟังคนอื่น พยายามที่จะหาทางที่สบายกว่าโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คนที่เป็นเช่นนี้จะไม่เคยเข้าใจเลยว่าทางลาดยางมันไม่มี ดังนั้นเมื่อเบี่ยงเบนไปทางอื่นก็เลยยังไม่ได้ออกจากป่า หลงวนต่อไป หรือระหว่างทางเจอทางที่ “เหมือนจะเดินสบาย” ก็เลยเปลี่ยนไปทางนั้น บ่อยครั้งมันจึง “สบายชั่วคราว” แต่สุดท้ายมันไม่ได้พาไปยังปลายทางได้จริง นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมหลายคนลำบากลำบนซ้ำซาก ต่อให้ได้โอกาสใหม่ มีคนมาชี้ว่าไปทางนี้ ก็มีทั้งไม่เชื่อเพราะมองว่าคราวก่อนไปไม่รอด (ไม่โทษตัวเองว่าไม่พยายามต่อเอง) หรืออาจเชื่อ แต่ยังหวังจะง่ายอีก ไปสักหน่อยก็ย่อมเจออุปสรรคอีก ก็ถอยอีก วนเวียนไปเช่นนี้เรื่อย ๆ…
เห็นได้ว่านี่ไม่ใช่การไม่ได้รับโอกาส แต่ “โอกาสจะเหลือได้ไงในเมื่อทำลายมันไปเองอยู่ตลอดเวลา”
ถึงตรงนี้หากตรองดี ๆ มันแปลกดีนะ ความลำบากที่เราอยากหลุดพ้น แต่ถ้าลำบากอย่างมีเป้าหมายเรามักไม่ทน เลือกที่จะทนลำบากต่อไปแบบวน ๆ หวังว่าวันหนึ่งจะหลุดพ้นแบบทุกอย่างเนรมิตได้ ความลำบากหายไปในทันที
ลึกไปกว่านั้น เวลาคนหลงทางไปเจอคนหลงทางด้วยกันก็พยายามช่วยกัน ก็น้อยนักที่รอด (ก็ในเมื่อไม่มีใครรู้วิธีหลุดจากสิ่งนี้) ที่สุดก็ต้องแยกจากกัน คนเหล่านี้ก็จะบ่นว่า “ทิ้งกันในยามลำบาก” บ้างก็ “วันนี้มองข้ามวันหน้าว่ามาขอแล้วกัน” หรือไม่ก็ “ถ้าผ่านไปได้จะไม่กลับไปมอง” มันก็น่าตลกที่ทำไมไปคาดหวังกับคนที่เขาก็ยังลำบากเหมือนกัน แแต่คนที่ชี้ทางให้ได้กลับกลายเป็นรั้นและต่อต้านประมาณว่า “เขาไม่เข้าใจสถานะของเรา”
แล้วหากวันหนึ่งอยากจะถามคนรู้ทางคนเดิม ทีนี้เขาก็ไม่อยู่แล้ว เพราะเขาไปไกลแล้ว ก็คงเป็นเวลาที่บ่นว่า เรามันไม่มี คนมีเขาไม่คบ ไม่มีโชค ไม่มีโอกาสบ้าง เหมือนเดิมอีกครั้ง…
โอกาสเราทุกคนมี คนช่วยเรามี เพียงแต่ลองถามตัวเองอีกที ต้องรอรัฐมนตรีมาเทถนนลาดยางผ่านป่าเท่านั้นใช่ไหมจึงเรียกว่าได้โอกาส มีไม่น้อยเลย คนที่ไร้ต้นทุนแล้วไม่สนอะไรบุกลุยถางป่า ฝ่าฟันหาทางเองได้ คนที่ตระหนักเข้าใจก็หลุดพ้นไปตามเขาไปได้ บางที “คนไม่มีโอกาสบางคน” ก็แค่คนที่ดื้อดึง หรือไม่ก็พยายามไล่หา “โอกาสดั่งใจนึก” วนไป สุดท้ายก็อ้างว่าพยายามทำอะไรตั้งหลายอย่างไม่เห็นสมหวังเสียที…
ปล.หากเคยให้คำแนะนำ หรือมอบโอกาสให้ใครบ่อย ๆ จะยิ่งเข้าใจบทความนี้ดี 😌
บทความฉบับปรับปรุง เผยแพร่ครั้งแรก Facebook Sirichaiwatt เมื่อ 14/01/2023