Site icon Sirichaiwatt

ผมไม่ทำ IF อีกด้านของการมองเรื่องนี้

กำลังเป็นที่นิยม สำหรับเรื่อง IF (Intermittent Fasting) อาจกล่าวได้ว่าเป็นสูตรการลดน้ำหนักอย่างหนึ่ง อีกแบบที่นิยม Ketogenic Diet ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า คีโตน บ้างว่าถ้าทำ IF ก็ต้อง คีโตนไปด้วย จึงจะได้ประสิทธิภาพ ที่จริง คีโตนนี้สำหรับผมเป็นเรื่องที่เก่าแล้ว คีโตนคือการลดแป้ง น้ำตาล หรือไม่ทานเลย ซึ่งมันเป็นหลักการที่ดี แม้กระทั่งนักเพาะกาย คนเล่นกล้ามยังไงก็ต้องใช้เทคนิคทำนองนี้

**อัพเดต สารภาพว่า ผมกลับลำกลืนน้ำลายตัวเอง หลังจากเขียนบทความนี้ไปเมื่อเดือน สิงหาคมปี 2562 ปัจจุบัน กรกฏาคม 2563 ผมได้ลองทำ IF ด้วยเหตุผลเรื่อง autophagy ซึ่งก็ยังเป็นการทดลองอยู่ คาดว่า 3-4 เดือนจะเขียนเล่าสู่ว่าเป็นอย่างไร  (เขียนไว้แล้วที่บทความนี้ กลับคำ เล่าเรื่องทำ IF (Fasting) )

ฟังบทความนี้ในรูปแบบ Podcast ตามช่องทางเหล่านี้

อย่างไรก็ตามสำหรับ IF จะต้องคีโตนหรือไม่ ก็อีกเรื่อง แต่โดยหลัก ๆ ของ IF แล้วสำหรับคนที่ไม่รู้จัก สรุปสั้น ๆ มันคือ “การกำหนดเวลาทานอาหาร” ที่เขามีหลายสูตร เช่น 8-16 นี่จะหมายความว่า คุณจะต้องไม่ทานอะไรเลย นอกจากน้ำเปล่าเท่านั้น หลังจาก 8 ชั่วโมงที่ทานได้ หรือ ทาน 8 อด 16 นั่นเอง รวมกันแล้วก็จะ 24 ชั่วโมง คือเวลาในหนึ่งวันนั่นเอง

ขยายความเป็นตัวอย่างให้อีกหน่อยว่า คุณเริ่มทานมื้อแรก หรืออย่างแรก ในเวลา 9.00 น. คุณก็จะทานได้ไปจนถึง 17.00 น. (8 ชั่วโมง) หลังจากนี้ก็ห้ามทานไปจนกว่าจะ 9.00 น. ของอีกวัน ซึ่งแบบ 8-16 นี้ถือว่าเป็น พื้นฐานที่สุด ง่ายที่สุด

แล้วถ้าทาน 9-10 ชั่วโมงล่ะ? แบบนี้มันก็ไม่ต่างจากชีวิตประจำวันคนปกติเท่าใดนักแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นการอดอาหารแต่อย่างใด

ในการทำ IF นี้ บ้างก็บอกว่าไม่ใช่เป็นแค่เรื่องการลดน้ำหนัก แต่นำไปสู่ สุขภาวะที่ดี ร่างกายกระชับกระเฉง สมองปลอดโปร่ง โดยการทำ IF ที่เข้มข้นกว่านี้ ก็คือจะทานกัน 6-18 หรือ 5-19 ที่เขาว่าจะโหดหน่อย แต่..เราพบผู้ที่ทำสูตรนี้มากมายใน.. วัด (ฮ่า)

เหมือนจะแซวเล่น ๆ แต่ในความเป็นจริงเราพบอะไรได้มากมายในพุทธศาสนา ที่มีมาก่อนแล้ว ดังที่เราทราบ พระจะฉัน (ท่าน) ได้แค่หลังอรุณขึ้น ถึงก่อนเที่ยงเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ฉันเช้าก็ราว 8 โมง (รวมแล้วก็ประมาณ 4-5 ช.ม.)

แต่ก็ยังมีที่โหดกว่านี้เช่นว่า อด 2 วันเต็ม แต่กิน 5 วัน หรือกระทั่ง อดหนึ่งวัน กินหนึ่งวัน 24-24 กันเลยทีเดียว

คร่าว ๆ กันเท่านี้ว่า IF คืออะไร ในมุมมองของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอเล่าอะไรนอกเรื่องสักอย่างหนึ่งก่อนแล้วกันครับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ผมก็ได้ตื่นตี 5 ไปวิ่งเป็นปกติ ทว่าการวิ่งวันอาทิตย์ ตามโปรแกรมของผมแล้ว คือการวิ่ง Long Run ประมาณว่าเป็นวันที่วิ่งยาวหน่อย ก็จะหนักหน่อย เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุด แม้ว่าผมจะไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็จัดตารางตัวเองแบบนี้ และเนื่องจากเป็นวันที่วิ่งเยอะ ก็ย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา

เมื่อวิ่งเสร็จกลับมา ก็นัดกับครอบครัวไว้ว่าจะพาไปเที่ยว หลังจากกลับมาทานอะไรก็อาบน้ำแต่งตัว ออกเดินทาง ไปยังที่เที่ยวแห่งหนึ่ง ไม่ได้ไกลบ้านมาก ขับไปราว ชั่วโมง กว่า ๆ เมื่อถึง เราก็เดินเที่ยวชม หาอะไรทานกัน ราวบ่าย ก็ขับรถกลับ

ทีนี้วันเดียวกัน ผมก็ดันนัดโปรกอล์ฟ ที่สอนผม (เพิ่งหัด) เอาไว้แล้ว ก็เรียกว่ากลับมาถึงบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไปต่อ นับว่าเป็นวันที่ฝึกหนักพอสมควร เพราะหมดแรงไปเลย กลับมาบ้านก็ค่ำแล้ว ไม่รู้สึกหิวอะไร และปกติไม่ค่อยจะทานอะไรหลัง 6 โมงเย็นมาสักพัก ปัจจุบันจะเข้านอนเร็วด้วยเหตุผลที่ตื่นเช้า การทานอะไรไปไม่นานแล้วเข้านอน เป็นผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องลดน้ำหนัก หรือ IF แต่เป็นเรื่องที่ควรทำ หลายคนคงทราบดีว่า หากเป็นกรดไหลย้อน มันไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้ออะไร แต่เกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิต เรียกว่าต้องแก้ที่นิสัยถึงจะหาย

คืนนั้น ปรากฎว่านอนไม่ค่อยหลับ ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมาก ซึ่งน่าจะหลับได้สบาย กว่าจะหลับก็ราวตี 2 และพอตี 5 วันจันทร์ มันก็ตื่นมาเหมือนทุกวัน ทีแรกคิดว่าจะนอนต่อเพราะนอนน้อย แต่ก็กลัวว่าจะตื่นสายเรื้อรัง อีกทัั้ง ไม่ได้รู้สึกง่วง อะไร เพียงแต่กลายเป็นวันที่เหมือนเชื่องช้า สมองไม่แล่นเอาเลย

ถ้าถามผมว่าระหว่างการกิน หรือทำ IF มีผลต่อเรื่องไหน อันนี้คงไม่แน่ใจ แต่สำหรับผม การนอนส่งผลมาก เมื่อพักผ่อนน้อย เรามักจะขี้เกียจ พักผ่อนน้อยในที่นี้คือตื่นสาย ๆ ด้วยนะครับ จะยิ่งเห็นชัด แต่ก่อนผมไม่เชื่อเรื่องตื่นเช้ามาทำงานเท่าใดนัก แต่ได้ลองก็พบว่ามันดี หรือแม้ว่า ตื่นเช้าแต่นอนน้อย ก็เชื่อว่า มันจะอึน มึน แม้จะรู้สึกขยัน แต่สมองไม่ตามใจเราแน่นอน

ดังที่เล่าไป ผมพบว่า นี่ก็เป็นอีกเรื่อง ที่มีผลคล้ายกันเหมือนกับเรื่อง IF ที่จะพูดคือ อะไรที่ “มากเกินไป” มันไม่ส่งผลดี ทั้งที่ผมไม่ได้ใช้เวลาวันอาทิตย์อย่างไร้ประโยชน์อะไร ทว่าร่างกายถูกใช้มากเกิน ย่อมส่งผลให้แย่ในวันต่อมา

อีกประเด็น หลายปีก่อนผมเคยควบคุมและลดน้ำหนักอย่างมาก กล่าวโดยสรุปคือหายไปราว 10 กิโลภายใน 2 เดือนกว่า ด้วยการกิน 3 มื้อ ปกติ (พูดรายละเอียดใน Podcast) และมันก็ทำให้ผอมเกินไป ร่างกายแม้จะรู้สึกแข็งแรงดี แต่ภายนอกไม่ดูดีนัก เนื้อหนัง ดูเกินวัย อาจเพราะไม่ได้สารอาหารที่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามกินครบ 5 หมู่ก็ตาม

การทำ IF หากเป็นในมุมของผม (ย้ำว่าความรู้สึกส่วนตัว) เรื่องเวลาที่บีบบังคับจะส่งผลอย่างมาก ข้อแรก คือ ไม่สอดคล้องกับคนในครอบครัว ไม่สามารถทานอาหารเย็นกับครอบครัวได้ (ถ้าบอกว่ามียกเว้นได้ไหม ถ้าเว้นคุณก็จะเลิกทำในที่สุด) การใช้ชีวิตในแต่ละวัน อาจจะต้องมาพะวงกับเรื่องการกิน เช่น ทำ IF 8-16 เริ่มทาน 9 โมง ก่อน 5 โมงเย็น เราก็ต้องทานมื้อสุดท้าย นั่นหมายถึงเริ่มทานราว 4 โมง ความรู้สึกผมคือ มันกวนเวลาทำงานมาก ๆ เพราะ 9.00 – 16.00 มันคือเวลางานที่ดีที่สุด แม้กระทั่งทำงานอิสระ หรือ Freelance เพราะคนอื่นเขาก็ทำงานกัน ติดต่อประสานงานจะง่ายกว่า

ถ้าเป็นช่วงเย็น ๆ หรือค่ำหน่อย เราจะทานอะไรเบา ๆ ก็ไม่ได้ ภาพรวมคือ มันไม่พอดี และสำหรับคนมีครอบครัวอาจดูเป็นการเห็นแก่ตัว บางคนอาจบอกว่า เราก็นั่งร่วมโต๊ะใช้เวลาไป ไม่ต้องกิน สำหรับผมคิดแล้วมันเกิดคำถามว่า เรากำลังเอาชนะอะไร? แน่นอนว่าถ้าโสด ไม่มีปัญหา แต่ผลเสียมันอาจตามมาอยู่ดี ในแง่การใช้ชีวิต

ผมไม่เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาก ๆ เขามาบอกว่า IF เป็นส่วนหนึ่ง ของความสำเร็จนั้น

แน่นอน ผลเสียที่บอกอาจไม่สำหรับทุกคน และเรื่องนี้อาจจะดีสำหรับบางคนก็ได้ แต่ถ้าใครสนใจจะทำ IF ที่จริงแล้ว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนสำหรับหลาย ๆ ท่าน (เห็นไหม) ว่าทำได้หรือเปล่า สำหรับผมแล้วมันคือความไม่พอดี

ทั้งหมดนั้น ขอย้ำ ไม่ได้สรุปว่าเรื่องพวกนี้มันดี หรือไม่ดีต่อใครอย่างไร ส่วนตัวแล้วไม่จำเป็น และยังกระทบสิ่งแวดล้อมของชีวิตให้ยากขึ้น โดยอย่างยิ่งถ้าทำเพียง อยาก เท่ เอาชนะ ตามกระแส สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตก็คือ ผมไม่เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาก ๆ เขามาบอกว่า IF เป็นส่วนหนึ่ง ของความสำเร็จนั้น

รวมถึงการทำ IF แล้วชีวิตมีความสุขมากขึ้นชัดเจน มันอาจจะดีต่อตัวเขา เขาอาจจะรู้สึกดี ที่ได้ทำอะไรดี ๆ ต่อตัวเอง แต่จริง ๆ แล้ว มันก็มีอะไรหลายอย่าง เช่นการเลือกทานของดี เหมาะสม กินครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนเพียงพอ ที่น่าจะเหมาะสมเพียงพอแล้ว

โดยรวมการทำ IF อาจจะดี แต่ส่วนตัว (ย้ำ) ก็มองว่ามันออกแนวได้อย่างเสียอย่าง..

เรื่องนี้เป็นแค่มุมคิดในอีกด้านที่กำลังเป็นกระแสเหลือเกิน ฝากไว้เป็นอีกมุมคิดแล้วกัน ตัดสินใจอย่างไร ที่สุดก็แล้วแต่ท่านอยู่แล้วครับ

ปล.ถ้าจะลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักแบบคีโตน น่าจะสมเหตุผลที่สุด

Exit mobile version