เป็นเรื่องยากที่จะมั่นใจว่าสิ่งที่เรา “เลือก” ทำอยู่นั้น มันจะถูกหรือผิด การต้องมีเป้าหมายก่อนถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อถึงจุดนั้นมันอาจชี้ชัดได้อีกทีว่า ผลลัพธ์ถูกผิด ดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่การไปถึงเป้าหมายไม่ใช่เรื่องง่าย หากระหว่างทางมีอุปสรรคปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมา เราจะเลือกอย่างไร ถอยหลังยอมแพ้, เปลี่ยนเส้นทาง, หยุดเพื่อแก้ปัญหาก่อน หรือ มุ่งสู่เป้าหมายโดยไม่สนอะไร?…
อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ลำบาก (ทางกาย) เบื้องต้นดูไม่ใช่อะไรที่น่ากังวล ไวรัสหวัดลงคอ มีอาการไอเจ็บคอ โรคทั่วไปที่เป็นกันได้ โดยติดจากลูกสาวตัวน้อยที่เขาก็ติดเพื่อนจากโรงเรียนมาอีกที เป็นทั้งอาทิตย์จนเขาเริ่มหาย แล้วกลายเป็นผมเริ่มมีอาการ..
ปัญหาอยู่ที่รู้สึกตัวเริ่มมีอาการอาทิตย์ก่อนหน้า วันที่ 4 ต.ค. ซึ่ง วันที่ 5-6-7 เป็นวันที่ต้องทำงานต่อเนื่องคนละที่ เดินทางกาญจนบุรี – หัวหิน ขับรถเอง และที่สำคัญ การเจ็บคอกับอาชีพที่ต้องใช้เสียงพูดส่งผลกระทบกันโดยตรง
ส่วนหนึ่งคิดว่าการพยายามดูแลตัวเองอยู่เสมอ ช่วยให้พอทำงานได้ผ่านพ้นไป แต่มันก็คือการฝืนร่างกายอยู่ดี เมื่อจบงานก็ป่วยจริงจังอย่างไม่สงสัยตัวเอง พอร่างกายได้พัก 1-2 วันก็ดีขึ้น ส่วนหนึ่งก็ถือว่าโชคดีที่งานวันที่ 10 ยกเลิกไปก่อน ไม่เช่นนั้นก็ต้องเดินทางไประยอง อาจจะแย่กว่าเดิม
แม้อาการไม่หนักหนาแค่เจ็บคอ ไอเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่ายังไม่หายขาดง่าย ๆ จนเข้าสู่อาทิตย์ที่สอง เกิดปวดฟันและพาลปวดหัวมีไข้ขึ้นมาอีกรอบ…
ที่เล่ามาเสียยาวประเด็นมันมีปัจจัยส่วนตัวอยู่ที่ว่า ผมมีเป้าหมายให้กับตัวเองในหลายเรื่องแต่ละปี ซึ่งบางเรื่องวัดผลทั้งรายไตรมาส และรายเดือน หนึ่งสิ่งในนั้นคือการออกกำลังกายด้วยการ “วิ่ง” ที่แฟนเพจหรือคนอ่านประจำอาจทราบดี
ผมตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะวิ่งให้ได้ 1,300 กิโลเมตร แยกเป็นเดือนตกเดือนละ 108.34 กิโลเมตร ที่ผ่านมา 9 เดือนก็ทำได้ตามเป้าหมายแต่การที่ป่วย 2 อาทิตย์ในเดือนนี้(และยังไม่หายสนิท) ดูท่าทีจะยากลำบาก จึงอยู่ในภาวะต้องเลือก…
ในวันที่ยังไม่หายสนิท และนั่งพิมพ์บทความเล่าเรื่องอยู่นี้ ก็ตัดสินใจว่า “วิ่งสักหน่อยดีไหม?” เดี๋ยวจะไม่ถึงเป้าหมาย แม้ร่างกายจะไม่พร้อมแต่ก็ไม่แย่ขนาดวิ่งไม่ได้ เรื่องนี้อาจเล็กน้อยไม่น่าใส่ใจสำหรับหลายคน แต่ถ้าเราเปรียบเรื่องนี้เป็นเป้าหมายอื่นของคุณล่ะ..
ถ้าเราจิตใจอ่อนแอ ชอบยอมแพ้เป็นทุนก็มักจะไปทาง “ล้มเลิก” ได้ไม่ยาก เพราะมี “ข้ออ้าง” ให้ตัวเองมาแล้ว แต่คนที่มุ่งมั่นย่อมมองว่าเรื่องแค่นี้ไงก็ต้องไหว การหาข้ออ้างให้ตัวเองบ่อย ๆ จะสร้างนิสัยไม่ดี ไม่สบายนิดหน่อยเอง มุ่งสู่เป้าหมายไม่ต้องลังเล!
ชีวิตย่อมต้องมีอะไรให้ตัดสินใจเสมอ แต่มันอยู่ที่ว่าจะตัดสินจากอะไร การใช้เหตุผลมากกว่าความรู้สึกเป็นสิ่งที่ดี แต่ลึก ๆ ก็ควรต้องรู้ว่ามันเป็นเหตุผลแท้จริง หรือข้ออ้างเข้าข้างตัวเอง ไม่หลอกตัวเอง…
ผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาจริงจังและตั้งใจเขียนให้เป็นมุมคิดเล็ก ๆ เผื่อมีประโยชน์เพื่อทบทวนกันได้บ้าง ประสาเรื่องราวเล่าสู่ แม้นำไปเปรียบหรือใช้กับหลายเรื่องไม่ได้ แต่อาจได้มีประโยชน์บ้างในมุมคิดหนึ่ง
ส่วนบทสรุปเรื่องวิ่งของผมนั้น “ใจ” หรือ “ความรู้สึก” ผมนั้น เลือกไปวิ่ง เลือกมุ่งสู่เป้าหมาย และคิดว่าร่างกายไหว เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมแล้ว ก็เกิดฉุกคิดทบทวนอีกครั้งดังที่บอก “นี่ทำเพื่ออะไร?”
ที่สุดคิดได้ว่า ที่วางเป้าหมายเรื่องนี้ไว้ ผลประโยชน์สุดท้ายคือ “มีสุขภาพร่างกายที่ดี” ในเมื่อตอนนี้ร่างกายไม่ดีอยู่ สิ่งที่กำลังจะสู้เป็นเพียงการ “เอาชนะ” และมุ่งสู่เป้าหมายโดยไม่สนใจอะไร การเอาร่างกายไปเสี่ยงทั้งที่ต้องการทำเพื่อสุขภาพร่างกายไม่น่าจะใช่เหตุผลที่ดี…
ไม่แน่ใจว่าผมตัดสินใจผิดหรือถูก โชคดีที่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือส่งผลกระทบอะไรทันทีต่อชีวิต และจริง ๆ แล้วเวลายังมีให้ถึงเป้าหมายแม้อาจลำบากกว่าเดิมนิดหน่อย..
..ที่แน่ ๆ สิ่งที่ได้คือใช้เวลามาเขียนบทความนี้แทนไงครับ ^ ^
บทความฉบับปรับปรุง เผยแพร่ครั้งแรก Facebook Sirichaiwatt เมื่อ 19/10/2020