เราอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า การมีชีวิตคู่นั่น คือการ “ไปเริ่มชีวิตใหม่” ที่อาจหมายถึงเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม รูปแบบชีวิต ที่เคย ๆ ปฏิบัติ หรือทำมา ซึ่งมันน่าจะชัดในบริบทของยุคสมัยก่อน ที่ความสนิทสนมในครอบครัว(เดิม) จะมีอยู่มาก
ฟังบทความนี้ในรูปแบบ Podcast ตามช่องทางเหล่านี้
โดยอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง ที่ในยุคก่อน ๆ จะค่อนข้างต้องเก็บตัว ไม่ไปไหนมาไหนลำพัง ภาพง่าย ๆ ก็คือ อยู่กับพ่อแม่ หรือครอบครัวมาตลอด โรงเรียนก็ไม่มี หรือมีก็จะมีแต่เด็กผู้ชายไปเรียน นี่ว่าย้อนไปนานเลย ซึ่งต่างกันกับสมัยนี้ ที่บางทีการไปเรียนคือการได้คู่
แต่คำพูดนี้มันก็จริงอยู่ หากเราเข้าใจในมุมหนึ่งว่า แม้จะเคยเป็นแฟนกัน คบหากัน แต่การต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้น มันก็แตกต่าง และมีอะไรอีกมาก คล้าย ๆ กับเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
อันที่จริงแล้ว เรื่องที่ได้ยินได้ฟังมานี้ เป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวกับ กรณีหนึ่งของวงการแพทย์ในต่างประเทศ ในแง่ของกฏหมายและคดีความ แต่มันมีส่วนคาบเกี่ยวที่ทำให้ผมคิดในมุมมองของ ชีวิตคู่ หรือแง่คิดการตัดสินใจมีชีวิตคู่ อยู่ในเรื่องเล่านี้ ที่เรื่องมีอยู่คร่าวๆ ว่า..
..สามีภรรยาคู่หนึ่ง(ในต่างประเทศ) แต่งงานกำลังจะมีบุตรด้วยกัน เมื่อฝ่ายภรรยาได้ตั้งครรภ์สามีก็ได้พาภรรยาไปฝากครรภ์ กับแพทย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับฝ่ายสามี ซึ่งในตอนนั้นทุกอย่างเป็นปกติดี
แต่ทว่าในเวลาต่อมา ภรรยาเริ่มท้องแ่กใกล้จะคลอด ในช่วงนี้เอง ทั้งสองระหองระแหงกัน และได้มีการทะเลาะกันรุนแรงบ่อยครั้ง ด้วยปัญหาอันใดไม่อาจทราบ ฝ่ายแม่ภรรยาหรือแม่ยาย เป็นผู้ที่พอรู้เรื่องการทะเลาะกันของสองคนนี้ แต่ก็มิอาจยุ่งยากได้ในเรื่องของครอบครัว
จนเมื่อถึงวันครบกำหนดภรรยาท้องแก่ก็ได้เจ็บท้องคลอด แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อการคลอดครั้งนี้ไม่ราบรื่น ภรรยาเกิดอาการผิดปกติทางร่างกายและเลวร้ายขนาดที่ว่า แพทย์สามารถยื้อได้เพียงชีวิตเดียว..
ในทางระเบียบแล้ว แพทย์จึงต้องถามไถ่ไปยังผู้มีอำนาจในการตัดสินใจแทนผู้ป่วยที่ไม่มีสติขณะนั้น นั่นคือ สามี..
เป็นคำถามยิ่งใหญ่ที่ต้องตัดสินใจเลือกให้หมอเจ้าของไข้และเป็นเพื่อน ดำเนินการตามวิธีการทางการแพทย์วิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งผลแต่ละวิธีนั้น มันคือการตัดสินเลือกช่วยชีวิตใดชีวิตหนึ่ง ระหว่าง ภรรยา หรือลูก
ด้วยเหตุผล และรายละเอียดใดไม่ทราบแน่ แต่ สามี เลือก.. ลูก และผลการผ่าตัด ก็ออกมาตามแนวทางนั้น..
..เรื่องราวไม่จบลงง่ายๆ เมื่อผู้เป็นแม่ยาย กลายเป็นผู้ต้องเสียลูกสาวของตน ทั้งการที่ได้ทราบเรื่องการระหองระแหงกันก่อนหน้านี้ จึงคิดว่านี่มันไม่ใช่กรณีปกติ จึงไม่ยอมและรับไม่ได้กับการสูญเสียนี้ เธอจึงฟ้องร้องเป็นคดีว่า นี่คือฆาตรกรรม และรวมถึงแพทย์ที่ทำการครั้งนี้ด้วย เหตุเพราะเป็นเพื่อนกับฝ่ายสามี คิดว่านี่คือการจงใจและสมรู้ร่วมคิด..
คดีความเกิดขึ้น แน่นอนว่า ทั้งคู่ยกเรื่อง “เลือดข้นกว่าน้ำ” เข้าสู้ความกัน ฝ่ายแม่ยาย ย่อมยอมเสียหลาน มากกว่าเสียลูก แต่ฝ่ายสามีก็อ้างว่า ลูกคือสายเลือดตน.. ท้ายสุดผู้เล่าไม่ได้สรุปผลของคดี แต่เท่าที่ทราบ นั่นคือ แพทย์พ้นผิดจากเรื่องนี้เพราะ ทำทุกอย่างตามขั้นตอน ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้มีฝ่ายใดถึงแก่ชีวิต และสามี ก็เป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจในภาวะการณ์เช่นนั้น เป็นการดำเนินการถูกต้องแล้วตามกฎหมายประเทศนั้นๆ..
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ยากจะตัดสินว่าสามีผิดหรือถูกได้ชัดเจนในเชิงกฎหมาย แต่สิ่งที่เห็นก็คือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ฝากชีวิต หรือทิ้งชีวิตของเธอ ไว้ในมือของผู้ชายคนหนึ่งแล้ว มันอาจมีผลเป็นเช่นไร? มีผู้หญิงอีกมากมาย ที่คิดถึงการแต่งงานมีชีวิตคู่ มองว่า คือการเริ่มชีวิตใหม่ แต่บางทีก็ไม่ได้คิดไกล หรือหลงลืมไปว่า เธออาจต้องฝากชีวิตที่เหลือไว้กับเขาด้วย..
กรณีหนึ่ง ที่เราเห็นได้ทั่วไป คือ หลังจากแต่งงานกัน พอมีลูก ภรรยาลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอย่างเดียว จากที่เคยทำงานทั้งคู่ ครั้นอยู่ไปมีปัญหากันขึ้นมา หากไม่แยกทางกันภรรยาก็เหมือนตายทั้งเป็น ไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองและลูกได้ ต้องจำทนรับสภาพ โดยส่วนหนึ่งอาจคิดว่า ทำเพื่อลูก แต่แท้จริง ไม่รู้จะไปเริ่มใหม่ตรงไหน เว้นแต่ฐานะดีมาก่อน อาจไม่ต้องเดือดร้อนในตรงนี้ แต่มีหลายคน ที่สุดท้ายก็ต้องแยกทางกันไป ก็ต้องลำบากกับสภาพ ผู้หญิงลูกติด.. แม้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เหมือนสิทธิ์ความเท่าเทียมหายไปหลายประการ..
ยังมีอีกหลายคู่ สามีสร้างหนี้สินไว้มากมาย สุดท้ายก็กลายเป็นจำเลยร่วม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่ต้องเก็บกดต่อการถูกทำร้ายร่างกาย ฐานะไม่ได้เดือดร้อน กลับยิ่งต้นทนเพราะ งานแต่งใหญ่โต อับอายที่ต้องเลิกรา และอีกมากมายกับคำว่า ทำเพื่อลูก ไม่ว่าสามีจะเลวร้ายยังไง..
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงส่วนเดียว เพียงเพราะ อยากมีคู่ เริ่มชีวิตใหม่กับใครคนหนึ่ง จนหลงลืมไปว่าที่จริง ได้ทิ้งชีวิตไว้กับเขาครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะมันอาจหมายถึง ชีวิตจริงๆ ดังเรื่องข้างต้นก็เป็นได้..
คัดลอกจาก Bloggang เดิม
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2551