ตลาดหุ้น ไม่ใช่ที่สำหรับคนหาเงิน!

by

| Home » บทความธุรกิจ-การตลาด » การบริหาร การจัดการ » ตลาดหุ้น ไม่ใช่ที่สำหรับคนหาเงิน! |


เปิดเรื่องไว้แบบที่เชื่อว่า ทำให้หลายคนสงสัยทำไมจึงกล่าวเช่นนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งเกินจริงที่ตลาดหุ้น ไม่ใช่ที่สำหรับ “คนหาเงิน” ขอย้ำตรงคำว่า “หาเงิน” แต่ไม่ได้หมายความว่า “ทำเงิน” ไม่ได้เลย แล้วอะไรล่ะคือตัวแบ่งแยก?

มีหลายคนหลงไปกับกระแส และคิดว่าตลาดหุ้นคือ แหล่งสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวย ไม่เลย! มันคือกับดัก! คือภาพมายา ตลาดหุ้นจริง ๆ ไม่น่าพิศมัยสำหรับคนมีฝัน กำลังสร้างตัว หรือหวังรวยสักนิดเดียว หลายคนอาจเริ่มคิดว่าผมกำลังอคติอยู่หรือเปล่า เสียหุ้นมาหรือเปล่าถึงมาเขียนเช่นนี้..

ขี้เกียจอ่าน กดฟังแทนก็ได้นะ [Podcast]

ฟังบน Youtube

ขอตอบว่า ไม่ใช่เลย แม้จะไม่คลุกคลีกับตลาดหุ้นตลอดเวลา แต่ก็มีพอร์ตลงทุนอยู่เสมอ ตอนนี้ รับปันผลแล้วราว 6-7% และมี Upside อยู่อีก ณ วันนี้ 5% พูดง่าย ๆ ถ้าผมขายตอนนี้กำไรปีนี้ก็ราว 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ไม่เยอะหวือหวาอะไร (เขียนเมื่อปี กันยายน 2560) แต่ก็ถือว่าดีบนตลาด sideway มาเป็นปี ๆ ทั้งยังไม่ได้ให้เวลาอะไรกับมันมากมาย แค่ดูแล้วก็ปิดไปวัน ๆ ยกเว้นแต่เมื่อใดต้องการจะซื้อใหม่หลังขายไปแล้ว ซึ่งก็นานพอตัว บางรอบก็เป็นปี ๆ ได้ นี่เป็นแค่สิ่งที่บอกว่าผมไม่ได้อคติ และยังมีหุ้นอยู่อีกด้วย แล้วทำไมจึงมาเขียนแบบนี้? รวมถึง..

ทำไมต้องเชื่อผม?

ก่อนอื่นที่เขียนเรื่องนี้ก็เพราะมันคือความเป็นจริง คือสิ่งที่หลายคนเข้าใจผิด และไม่อยากให้เสียเวลากับมัน รวมทั้งเสียเงินเป็นของแถม เพราะส่วนหนึ่งจากประสบการณ์ของผม ที่ไม่ใช่ประสบการณ์ไม่ดีอะไร ถ้าคุณเป็นคนที่เคยอ่าน ติดตาม หรือรู้จักผมในมุมหนึ่งก็คงรู้ว่า ผมเขียนหนังสือหุ้นไว้ด้วย ซึ่งน่าจะวางตลาดอีกไม่นานนี้ และก็ไม่ได้จะอวดอ้างว่าเก่งกาจอะไร แค่เป็นสิ่งที่อยากจะบอกว่า ผมไม่ได้แค่รู้เรื่องหุ้น งูๆ ปลาๆ อาจไม่เก่งมากมายอะไร แต่รู้อะไรๆ ไม่น้อยเหมือนกัน (บทความเมื่อ กันยายน 2560 ปัจจุบันหนังสือวางขายแล้ว http://bit.ly/2FSHnZF)

แต่อย่างไรก็ตาม บทความเป็นความเห็น มุมมองส่วนบุคคลประกอบการคิด และพิจารณา จงตัดสินใจใด ๆ ด้วยความคิดตนเอง

คนรวยด้วยตลาดหุ้นมีนะ ผมก็ขอแย้งกลับว่า คนรวยด้วยล๊อตตาลี่ ก็มีเหมือนกัน

อย่าหาเงินบนตลาดหุ้น

เหมือนอวดอ้างสรรพคุณไปพอหอมปากหอมคอ ที่จริงเจตนาแค่อยากให้คุณเปิดใจ ในแง่ที่ผมไม่ได้กล่าวเรื่องนี้บนความอคติ หรือมองการลงทุนในแง่ลบอันใด กลับเข้าเรื่องตรงคำที่ว่า ไม่ใช่ที่ “หาเงิน” แต่ไม่เถียงว่ามัน “ทำเงิน” ได้ และสิ่งที่อันตรายคือหวังว่าจะมั่งมีขึ้นมาจากตลาดหุ้น อาจมีคนเถียงผมว่า คนรวยด้วยตลาดหุ้นมีนะ ผมก็ขอแย้งกลับว่า คนรวยด้วยล๊อตตาลี่ ก็มีเหมือนกัน และจะบอกว่า รวยด้วยตลาดหุ้นใช้ทุนมากกว่า ล๊อตตาลี่ หลายร้อยเท่า(เป็นหมื่น เป็นแสนเท่าด้วยซ้ำ) เพราะล๊อตตาลี่แค่ใบละ 100 เอ้ย 80 ในขณะที่มี จำนวนคนซื้อไม่น่าจะต่างกัน นี่ไม่ใช่แค่บอกว่า การรวยด้วยหุ้นยากพอ ๆ กับรวยด้วยล๊อตตาลี่ แต่เป็นไปไม่ได้เลยบนต้นทุนต่ำ ๆ และนี่แหละครับคือที่มาของคำว่า “หาเงิน” ไม่ใช่ “ทำเงิน” ต่างกันตรงที่ว่า ถ้าเรามีเงินน้อย ทุนน้อย แต่อยากหาเงินเพิ่ม มันไม่ง่ายหรอก ลองไปดูอะไรสนุกๆ กันต่อ

ไอดอลในตลาดหุ้นคุณเป็นใคร ไปศึกษาประวัติให้ดีเขามีพอร์ตเริ่มให้เติบโตร่ำรวยที่เท่าไหร่?

สารภาพไม่อายครับ ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งที่จริงไม่คิดรวย แต่เคยหวังพออยู่ได้ โตได้ด้วยการเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียวมาก่อน จึงศึกษาอย่างคนบ้าพลังมาแล้ว ด้วยการคำนวณที่ว่า.. ถ้าโตปีละ 5% 10 ปีเป็นเท่าไร เดือนละ 5% เป็นเท่าไหร่ มีใครเคยคิดทางการเงินแบบนี้บ้างไหม…

ตัวอย่าง
สมมติ ลงทุน 1 แสนบาท แล้วทำกำไรแบบทบต้น (เอากำไรมาเพิ่มทุนไปด้วยจะยิ่งได้ผลตอบแทนมากขึ้นทุกปี) ต่อเนื่องเป็นเวลา 20 ปี

  1. กำไรปีละ 5% คุณจะมีเงิน ประมาณ 271,264.02 บาท*
  2. กำไรปีละ 10% คุณจะมีเงิน ประมาณ 732,807.36 บาท*
  3. กำไรปีละ 15% คุณจะมีเงิน ประมาณ 1,971,549.35 บาท*
  4. กำไรปีละ 20% คุณจะมีเงิน ประมาณ 5,282,753.06 บาท*
    (*ผมใช้โปรแกรมคำนวนอัตโนมัติอาจมีคลาดเคลื่อนบ้างตามการปัดทศนิยม)

พอเราเห็นตัวเลขภาพฝันแบบนี้เราจะรู้สึกว่า โอ้โห! โตเป็นเท่าตัว, สิบเท่าตัว และ 50 เท่าตัวเลยทีเดียว ผมยกตัวอย่างที่เงินทุน 1 แสน ซึ่งมันก็ไม่น้อยสำหรับหลายคน ณ ปัจจุบัน แต่มันก็ไม่ได้มากนักเช่นกัน กับสถานะที่เรียกว่า “หาเงิน” มีส่วนหนึ่งหลงมายาเพราะเห็นว่ามีบางคนเด่นดัง ร่ำรวยมากับตลาดหุ้น ถ้าเห็น หรือมีไอดอลในตลาดหุ้น คนนั้นของคุณเป็นใคร ไปศึกษาประวัติให้ดี เขามีพอร์ตเริ่มให้เติบโตร่ำรวยที่เท่าไหร่? และอีกข้อร่ำรวยเพราะหุ้นมากี่ปี ถ้าไม่ถึง 5 ปีนี่ บอกเลยว่ายังไม่แน่ ก็แค่พวกมาหลังวิกฤติ อีกกลุ่มที่รวย ส่วนใหญ่เริ่มด้วย หลักล้าน หลักสิบล้านกันอีกด้วย ถ้าไม่เริ่มแต่แรกก็เติมเงินไปภายหลัง ไม่ใช่หลักหมื่น หลักแสนเดียว ดังนี้กลับมาตรงเงินแสนของเรา จากตัวเลขนั้นเรามาดูคำอธิบายกันชัด ๆ ดีกว่า

  1. ถ้าคุณใช้เวลา 20 ปีทำกำไรเพียงปีละ 5% ที่เท่านี้ก็มากกว่าดอกเบี้ยธนาคารไหน ๆ แล้วในปัจจุบันและมันหักภาษีทันทีด้วย แต่ในตลาดหุ้น 5% ไม่ใช่เรื่องยากอะไร วันเดียวก็สามารถทำได้ทันที และนี่แค่ปีละ สะสมให้ได้ทุกปีแบบทบต้น ดูน่าจะไม่ยากเลยใช่ไหม แต่ถามว่า ใช้เวลา 20 ปี เพิ่มมาอีกแสนกว่า พอใจไหม? และผมไม่เอาวิชาการเงินมาให้ปวดหัวเรื่องค่าเงินลด แต่เอาตัวอย่างความจริงให้เห็นกันง่ายๆ เลยว่า ค่าเงินอีก 20 ปีข้างหน้าจะเหลือเท่าไร หรือ วันนี้ก๋วยเตี๋ยวธรรมดาชามละเท่าไหร่ 20 ปีที่แล้วชามละเท่าไหร่ สองเท่าตัวหรือยัง นี่หมายความว่า เงินแสนปีนี้ กับสองแสน 20 ปีข้างหน้า บางทีมันมีค่าเท่ากัน ที่คุณทำมาตลอด 5% 20 ปี นั้นมันอาจเสียเวลาเปล่า..
  2. 2. ถ้าคุณทำกำไรมากขึ้นเป็น 10%-15% ต่อปีล่ะ มันก็ดูไม่เลวเลย 7 เท่า กับเกือบ 20 เท่า แต่มองกันจริงๆ ถามใจคุณนะว่า อีกยี่สิบปีข้างหน้ากับเงินเท่านี้ เพียงพอต่อชีวิต หรือคิดว่ามันรวยไหม? ซึ่ง 15% ต่อปีที่ดูเหมือนจะไม่ยากถ้าได้ลองแหย่เข้าตลาด บางคนก็อาจพลาดจนเรียนรู้ว่ากำไร 5% ให้พ้นปีนี่ก็ไม่ง่ายเลยก็มี เพราะตลาดหุ้นนี้ทั้งกิเลส โลภ โกรธ หลง ความไม่เที่ยงแท้ มาครบ ไม่ต่างกับข้อต่อไป
  3. 3. 20% ทุกปี นี่พูดได้เลยว่า ถ้าทำได้เก่งมากและจาก 1 แสนไป 5 ล้านมันคือผลลัพธ์ที่คุณคู่ควร แต่ถ้าคุณเล่นหุ้นมาบ้างแล้วก็คงรู้ว่า 20% ทุกปีนี่มีความเป็นไปได้แค่ไหน แต่ถ้าไม่เคย ถามคนที่เคยเล่นหุ้น (อยู่ตลาดมาอย่างน้อย 2-3 ปีนะ เพราะถ้าเพิ่งเข้าใหม่มีฟลุ๊คได้) แล้วเขาก็คงจะบอกคุณประมาณว่า ปีเดียวให้ได้เถอะ หรือ 3-5 ปีติดนี่ก็เก่งมากแล้ว ทำนองนี้ ซึ่งนี่ยังหมายความว่า ถ้าคุณไม่อยากใช้เวลาถึง 20 ปี เพราะนานไป ก็ต้องทำได้ให้แต่ละปี เปอร์เซ็นต์มากขึ้นแทน เช่น 30-40% ทำได้ไหม มีโอกาสทำได้ แต่อย่าพลาดแล้วกัน และมันควรกี่ปีถึงจะดีพอ เอาที่สบายใจ..

สรุปกับแนวคิดสะสมตัวเงินแบบนี้ บอกเลยนี่คือภาพลวงตาเหมือนแค่เก็บเงินทุก ๆ เดือน ครบปีจะมีเงินเท่านี้เท่านั้น ในฐานะชนชั้นกลางอย่างเรา ๆ มันก็ไม่ง่ายแล้ว และอย่าลืมนะว่า ถ้าคุณต้องการ “หาเงิน” คุณไม่มีเวลารอมันนานขนาด 20 ปี หรอก

พนันก็คือพนัน อย่าพยายามบิดหนีกันเลย

มันไม่ได้มีแค่หุ้นธรรมดาๆ นะ

หลายคนเห็นมา หรือรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ฟิวเจอร์ ออฟชั่น (futures option) มันคืออะไรไม่รู้ รู้แต่ว่ามันได้เยอะจัง มากกว่าหุ้นปกติ ก็บอกเลยว่ามันเกิดมาจากวิธีการหาเงินของเหล่าโบรกเกอร์.. อาจมีคนแย้งว่า เฮ้ย! มันเป็นเรื่องความปลอดภัย ประกันความเสี่ยงได้นะ ผมไม่เถียงครับ แล้วถ้าซื้อเพื่อการนั้นมันได้เสียทีละเยอะ ๆ แบบที่พยายามกันหรือเปล่า? แท้ ๆ มุมหนึ่ง พนันก็คือพนัน อย่าพยายามบิดหนีกันเลย ถึงมันจะมีอะไรให้วิเคราะห์ แล้วแทงต่ำสูงกัน ถ้านี่ไม่ใช่พนัน แทงบอลมันก็ไม่ใช่ เพราะมีอะไรให้วิเคราะห์ความเป็นไปได้เช่นกัน อ่อ..จะ forex หรือ สารพัดออฟชั่นสายพันธุ์ใหม่ สุดท้ายโจทย์ก็ไม่ต่างกันบนคำว่า ต่ำ สูง หรือแทง ขึ้น ลง 2 ด้านแค่นั้น

ประการหนึ่งคนได้เงิน คนรวยขึ้นมาจากสิ่งนี้มี แต่เอาความจริงเข้าว่ามันก็ไม่ต่างจากเข้าบ่อน เข้าครั้งหนึ่งได้เงินมา แล้วเลิกไปทำอย่างอื่น ชีวิตดีแน่นอน แต่เข้าบ่อนทุกวัน ได้ทุกวัน.. ได้ตลอด.. เหรอ? ผมว่ามีแต่เจ้ามือนะที่ได้ตลอดทุก ๆ วัน ตั้งแต่มีระบบพวกนี้ หุ้นบริษัทโบรกเกอร์ปันผลดีตลอดเลย

แต่หากคิดแบบยอมรับว่าก็เล่นแล้วได้เงินมาก พร้อม มันคุ้ม ไม่เกี่ยง High Risk High Return เรื่องจริง เชื่อถือได้ เช่นนั้นมันสิทธิของคุณ เพราะไม่ผิดกฎหมาย!!.. แต่พูดไปแล้วนะ ใครหนอ.. ที่ได้แต่กำไรและไม่มีเสีย เขาจึงเชียร์ว่ามันคือสิ่งดี ๆ ไงล่ะ ใช้บริการฉันกันเยอะ ๆ นะคุณจะรวย.. (ใครเอ่ย?)

ลงทุนหุ้น นักดูกราฟ, นักเทคนิค, เซียนอินดิเคเตอร์ (indicators) ล่ะ?

เรื่องพวกนี้มันมีประโยชน์นะ มันมาจากสถิติ แต่สถิติก็ย่อมมีไว้เพื่อทำลาย กราฟบอกว่าขึ้น โรงงานไฟไหม้ เทคนิคไหนจะช่วยได้ถามหน่อย? ผมก็พูดเกินไป.. แล้วมันไม่เคยหรือ? ไม่ใช่ต้องโรงงานไฟไหม้หรอก เกาหลีเหนือขู่ขึ้นมา มีประท้วงขึ้นมา การเมืองขึ้นมา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ นา ๆ เห็นปากกาเซียนหักทุกที และพอหลายทีเข้า ก็แค่มีเซียนเทคนิคใหม่มาแทนที่ก็มีอยู่แค่นั้น

ลองอยู่เว็บพันทิป ห้องสินธรสักปี ก็จะรู้ดีเอง..(จริงๆ น่าไปแปะบทความนี้ที่พันทิปเหมือนกัน) อ่อ มีเซียนฉลาดเปิดสอน เปิดอบรมด้วยนะ ไหงไม่เอาเวลาไปเล่นเองเสียเวลามาสอน (หาเงิน) ทางนี้กันทำไม? ก็เพราะมันหาเงินได้ไม่ไวเท่าไงล่ะ มันต้องมีทุนหลักล้านหรือหลายล้านมันจึงจะได้ผลตอบแทนดีพอ (ไม่นับความเสี่ยงนะ) เขาจึงต้องการเงินไปเพิ่มด้วยการเปิดสอน (นี่ตอบแบบเข้าข้างคนเหล่านั้นแล้วนะ) และมันคือความจริง เหมือนสิ่งที่นักเขียน นักบันดาลใจ ในด้านอื่น ๆ ทำ มีผลงานประมาณหนึ่งแล้วผันตัวมาหากินทางนี้ เพราะสิ่งที่ทำ.. มันอาจให้ผลลัพธ์ไม่ทันใจ (แล้วสอนคนอื่นทำไม.. ไม่รู้ครับ ปล.ไม่ใช่ทุกเรื่องและทุกคน)

คนเก่งระดับดูแลกองทุนเขาก็ใช้กราฟ?

ก็ดังที่ผมได้บอกไป ว่ามันดี มันมาจากสถิติ แต่จงมีสติ คนเก่งพวกนั้นเขาใช้เป็นเครื่องมือประกอบ สิ่งที่เขาใช้เรียกว่า “ระบบ” และไม่ได้ใช้เทคนิคที่คุณรู้ ๆ กันนักหรอกหรือเอาไปใช้แค่ตื้น ๆ ตามตำรา เช่น กองทุน หรือคนที่สามารถระดับหนึ่ง เมื่อเก่งมากก็สร้างระบบตัวเองได้ ก้าวหน้ามากก็จะไปตั้งกองทุนเอง แต่คุณคิดนะ กองทุนคือเอาเงินคนอื่นลงทุน นั่นคือ “จำนวนทุน” มหาศาล ทั้งคำว่ากองทุน นี่ก็เป็นกลยุทธ์ของคนมีเงินอยู่ดี เพราะการตั้งสิ่งนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ แต่ได้เปรียบรายย่อยมากมาย และที่เขียนกันมานี่ก็ว่าด้วย รายย่อย อย่างเรา ๆ มันก็มาเรื่องเดิม ไม่ใช่จากเงินน้อย ๆ แล้วรวยได้นี่หว่า อย่าหลงประเด็นกันนะ ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีคนเก่งจริง ไม่ได้บอกว่าเครื่องมือไม่ดีจริง ผมแค่บอกว่าตลาดหุ้นไม่ได้มีไว้หาเงิน!!!

แล้วผมยังเล่นหุ้นทำไม

จริงๆ เขียนแล้วมันมือ จนมาถึงตรงนี้ก็ยาวมากแล้ว ตัดเข้าส่วนสรุปดีกว่า การลงทุนหุ้นมันช่วย “บริหารเงิน” ได้ส่วนหนึ่งครับ ให้เงินมันทำงาน บนความชาญฉลาดของคุณ มีมากก็ลงทุนมากได้ มีน้อยก็ลงทุนน้อย ดีกว่าทิ้งไว้ในธนาคารจริง ๆ แค่เปิดบัญชีแบบฝากเงินในบัญชีหุ้นดอกเบี้ยได้มากกว่าเผื่อเรียกแล้วนะเออ(นี่ก็เคล็ดลับประการหนึ่ง ตามสถานการณ์) แต่อย่ามาหวังจะรวยได้จากตรงนี้ด้วยทุนน้อย ๆ หรือมาหาเงินจากตรงนี้ อย่าเสียเวลาคิดหาทางลัดจากตลาดหุ้น เพราะถ้าคุณรวยได้ขึ้นมาจริง มันยากที่จะยั่งยืน คุณก็ต้องหากินกับมันต่อ (เพราะในห้วงเวลานั้นคงไม่อยากไปทำอย่างอื่นแน่นอน) ดังที่บอกไปว่า เข้าบ่อนทุกวันก็พังได้สักวัน

ส่วนหนึ่งจากประสบการณ์ตรงผมออกจากตลาดไปพักหนึ่ง เพราะรู้ซึ้งว่ามันไม่ใช่ที่หาเงิน แต่แล้วก็กลับมาใหม่ในตอนที่พอมีเงินเก็บเพราะเข้าใจประโยชน์ของมัน แม้จะมีทุนไม่มากแต่เราก็สะสมได้เหมือนภาพในตอนแรก ที่ 20 ปีข้างหน้าอย่างไรเงินเราก็งอกเงยได้มากมายโดยไม่ต้องเสี่ยง ทั้งนี้ผมไม่ได้เอาประสบการณ์ตัวเองเป็นหลักเพียงอย่างเดียว แต่เอาเป็นว่า

ถ้าให้สรุปทั้งสิ้นในบทความนี้คือ หลายคนคิดว่า มาเล่นหุ้นอย่างเดียวแล้วจะอยู่ได้ รวยได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย และหลายคนที่คิดแบบนี้คือคนที่ชีวิตจริงยังต้องดิ้นรน นั่นหมายถึงคุณยังต้องกินต้องใช้ รวมถึงมีเงินทุนไม่มาก ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะได้ผลตอบแทนมาก ๆ แบบทั้งเลี้ยงตัวและเติบโตไปในคราวเดียว บนความคิดเช่นนี้ บอกเลยครับว่าเสียเวลา และหากมีใครซักคนทำได้ เขาก็คงหนึ่งในล้านบนตลาดหุ้น ซึ่งก็บอกไปแต่แรกว่าไม่ต่างอะไรกับโชคดีถูกล็อตตาลีรางวัลที่หนึ่งเมื่อมองแง่สถิติ แต่อย่าลืมว่านี่ใช้ทุนมากกว่านัก ไม่ใช่แค่เงินแต่มันหมายถึงเวลาที่เสียไป ดังนั้นเอาไปทำมาหากินดีกว่า แล้ว “หาเงินได้” ค่อยมาลงทุน..

เกร็ดเพิ่มเติม

ในรายชื่อเศรษฐี ที่ติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ หรือโลก มีนักเล่นหุ้นไหม? (ไม่เกี่ยวกับแค่เป็นผู้ถือหุ้น)…

วอเรน บัฟเฟต (Warren Buffett) ไง ใช่ หนึ่งเดียวผู้นี้ แต่เขาก็ทำอย่างอื่นมีเงินก้อนใหญ่มาก่อน ด้วยหลายธุรกิจ และอสังหาริมทรัพย์  สิ่งนี้บอกอะไร ก็ไม่ต่างจาก คนรวยระดับโลก หรือหลักการธุรกิจในปัจจุบันคือ “ทำธุรกิจ มีบริษัทใหญ่ เติบโต จนคนสนใจ แล้วค่อยขยายไปเข้าตลาดหุ้น ได้เพิ่มทั้งทุน ทั้งมูลค่า” เอาที่เห็นง่ายบ้านเราในบัจจุบันก็ได้ อิชิตัน เถ้าแก่น้อย เซปเป้ และมีหลายคนเจ็บจากหุ้นพวกนี้เหมือนกัน ก็ไม่รู้สินะ.. เจ้าของเขาไม่ได้เล่นหุ้น แต่หุ้นเขาเพิ่มมูลค่าให้เขาเอง..

สิ่งนี้ก็เป็นเครื่องช่วยยืนยันว่า การเข้าตลาดหุ้นนั้น เป็นเรื่องที่ มาทีหลัง คุณมีเงินแล้ว เอาไปบริหาร คุณมีกิจการดีแล้ว เอามันไปเพิ่มมูลค่า อะไรก็ได้ แต่เปล่าเลยที่จะหาเงินในตลาดหุ้น.. อ่อ มีเหมือนกัน ปั่นบริษัทฯ เข้าตลาดหุ้น.. ดับครับ แถมนักพนันในตลาดบางรายดับตามไปด้วย ถ้าคุณอยู่ในวงการบ้าง ณ วันนี้ก็รู้ว่าเพิ่งมีกรณีแบบนี้อยู่เหมือนกัน จริง ๆ มีเรื่องที่ชวนคิดชวนเขียนได้อีกนะว่าแท้จริงตลาดหุ้น(เมืองไทย) มันแค่ไม้ประดับ แต่สำหรับบทความนี้ เท่านี้ก็มากพอแล้วครับ

บทความธุรกิจ ตลาดหุ้นไม่ใช่ที่สำหรับหาเงิน

Sirichaiwatt Avatar
วิทยากร คอลัมนิสต์ นักเขียน นักคิด ที่ปรึกษา อิสระ ปัจจุบันประกอบอาชีพหลัก พ่อบ้าน :P ส่วนวิทยากร ธุรกิจส่วนตัว และอื่น ๆ เป็นอาชีพรอง.. V(^0^)V
แสดงความคิดเห็น