เคยโทรศัพท์มือถือเสีย หรือ หายไหม? เคยไหมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานเกิดเสียขึ้นมา? หรือของพวกนี้มีปัญหาจนต้อง Reset (รีเซ็ต – เริ่มระบบใหม่) เมื่อใดที่อะไรทำนองนี้เกิดขึ้น บางทีก็ส่งผลให้เหมือนต้องนับ 1 ใหม่ เพราะข้อมูลต่าง ๆ หายไปหมด ซึ่งผลกระทบจะน้อยจะมากก็ไม่มีใครอยากให้เกิดอะไรที่ต้องมาเริ่มใหม่ แต่ถ้ามันเสีย มันหายไปแล้ว เราก็บอกตัวเองได้แค่ว่า “ช่วยไม่ได้” ยังไงก็ต้องหาข้อมูลใหม่ เพิ่มใหม่ เริ่มต้นทำใหม่อีกครั้ง..
โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ บางคนอาจเครียด บางคนอาจแค่เซ็ง ๆ แต่หากเป็นเรื่องที่หนักหนากว่าในชีวิต การต้องเริ่มต้นใหม่ โดยอย่างยิ่งแบบไม่สมัครใจคงไม่มีใครอยากให้เกิด เช่น ตกงาน, เลิกกับแฟน, ถูกโกงเงินเก็บ แม้แต่ ชื่อเสียงถูกทำลาย หากสิ่งที่สูญเสียเหล่านี้ต้องใช้เวลาสะสมมานานเท่าใด ผลร้ายของมันยิ่งทำให้แย่มากขึ้นไปตามกัน
เราไว้ใจอะไรไม่ได้เสมอไป
ประโยคที่ว่า “ชีวิต ไม่มีอะไรที่แน่นอน” แม้มันจริงแต่ก็ฟังดูง่ายเกินไป ซึ่งหากเราลองพิจารณาเราจะพบว่าไม่มีใครอยู่ได้โดยลำพัง หรือโดยไม่พึ่งพาใครเลย มันจึงเป็นเหตุว่า แม้เราจะ “มั่นคงต่อตนเอง” เพียงใดก็ไม่อาจคาดหวังหรือบังคับให้คนอื่น สิ่งอื่น มั่นคงไปพร้อมกับเราได้…
เป็นดารา เป็น Celeb (เซเลบ-คนดัง) ก็ต้องพึ่งพาแฟนคลับ และมาจาก สื่อ หากไม่มีสื่อก็ไม่เกิด หรืออยู่ไม่นาน
เป็นสื่อ ก็ต้องพึ่งพาผู้สนับสนุน ส่วนใหญ่ก็หมายถึงธุรกิจ แบรนด์สินค้า…
เป็นบริษัท แบรนด์ ก็ต้องพึ่งพาผู้บริโภค…
กำลังซื้อผู้บริโภค ก็ขึ้นอยู่กับ เศรษฐกิจ…
และเศรษฐกิจ ก็พึ่งพาปัจจัยต่าง ๆ มากมายบนโลกนี้เกินกว่าจะแจกแจงและสรุปได้ในประโยคเดียว…
และเราส่วนใหญ่ ก็เพียงหนึ่งมนุษย์ธรรมดา 1 ใน 7 พันกว่าล้านคน บนโลกนี้ อีกที ที่ไม่ได้เป็นคนดังคนพิเศษ…
ที่พยายามกล่าวไปเป็นเพียงภาพรวมอย่างง่ายของการพึ่งพา เพียงเพื่อจะบอกว่าเราไม่สามารถควบคุมอะไรเองได้จริง และแม้จะใช้ชีวิตแบบที่พึ่งพา “ใคร” น้อยที่สุดนั้น มันก็ยังมี “ธรรมชาติ” ดินฟ้าอากาศที่ยากจะคาดเดา เราจึงควรเตรียมใจไว้บ้างเสมอ
อย่ากลัวการเริ่มใหม่ ที่ต้องถอยหลัง
หากมองย้อนไปเราก็คงมีประสบการณ์ “เริ่มใหม่” กับอะไรกันมาบ้าง เช่น เข้าโรงเรียนใหม่ ที่ทำงานใหม่ เรียนรู้สิ่งใหม่ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้ทำคุณเดือดร้อนใจเท่าการที่อะไร “พังลงไป” แล้วต้องเริ่มใหม่ เราอาจไม่อยากยอมรับ และยากทำใจ หากในตอนนี้หรือตอนที่เรามีสติเราจะพบว่า เราอาจแค่กำลังผิดหวัง เสียใจเลยยังไม่คิดเริ่มใหม่ และจมอยู่กับความเศร้าตรงนั้น เหมือนทุกอย่างเป็นศูนย์ ถดถอย หรือถอยหลัง…
มองมุมหนึ่งแล้วที่จริงการเริ่มใหม่ ไม่ใช่เป็นการถอยหลังแม้มันจะคล้ายกันก็ตาม เปรียบเปรยเหมือนการที่เราเดินทางเข้าไปเจอซอยตัน เราก็ต้องถอยหลัง แต่ใช่หมายความว่าเราไม่ไปต่อ เราถอยเพื่อไปจุดที่ต้องเริ่มใหม่ เลี้ยวใหม่ไปอีกทาง แต่ไม่ใช่ถอยไปกลับสู่จุดเริ่มต้น หรือย้อนไปมากกว่านั้น
แม้จะพูดให้ดูดีอย่างไร ก็ไม่มีใครอยากเริ่มอะไรใหม่อยู่ดี
ส่วนหนึ่งในตอนต้นกล่าวไว้ว่า การเริ่มใหม่นี้เหมือนการ Reset ซึ่งไม่ใช่ Restart (รีสตาร์ท-เริ่มใหม่) การ Reset คือการตั้งต้นใหม่ นับ 1 ใหม่ แต่การ Restart ก็คือการเริ่มใหม่เหมือนกัน สิ่งที่ต่างกันคือ Restart นั้นมันคือการเริ่มใหม่ด้วย “อะไรเดิม ๆ” อาจล้างบางสิ่งที่ชั่วคราว หรือแก้ไขอะไรที่เล็กน้อยได้ โดยไม่มีผลทำให้สิ่งแวดล้อมถึงกับต้อง “เปลี่ยนไป” แต่ปัญหาหลายเรื่องมันใหญ่เกินกว่าจะใช้วิธีนี้ ก็จะคล้ายการถอยหลังแต่ยังไปทางเดิม..
ด้วยหลายคนพยายามถอยหลังแบบ Restart คือพยายามเริ่มต้นใหม่ใน Mindset (มายด์เซต – กรอบความคิด) เดิม แนวคิดเดิม ทรัพยากรเดิม การปฏิบัติที่คล้ายเดิม ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า และทึกทักเอาว่านี่ “ฉันต้องเริ่มใหม่ อีกกี่ครั้ง” บางทีเพียงเพราะว่าแท้จริงแล้วยังไม่ยอมที่จะ Reset ยังกอดสิ่งแวดล้อมเดิมไว้แน่นอย่างเสียไม่ได้ ไม่อยากเริ่มต้นใหม่จริง ๆ
อยากเริ่มใหม่ แต่ทำไม่ได้
ถ้ามีความสุขดีคงไม่อยากเริ่มใหม่ มันคงเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็คิดเช่นนี้ แต่มีหลายคนอยู่ในภาวะที่อยากเริ่มใหม่แต่ทำไมได้ เหตุผลหนึ่งเพราะ “ไม่เคยเตรียมไว้ หรือเตรียมพร้อมว่าต้องเริ่มใหม่” เราจึงสร้างพันธะ หรือความผูกพันธ์บางสิ่งบางอย่างเอาไว้เหนียวแน่น จนถอยไม่ได้ แยกไม่ได้ และออกจากจุดนั้นไปง่าย ๆ ไม่ได้
บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เราประเมินเกินจริง กล่าวคือ ที่จริงหากเราจะเริ่มใหม่ก็ทำได้ แค่คิดกังวล กลัวมากไปเอง แต่บางเรื่องก็ยากลำบากจริง ๆ ในการที่จะไปเริ่มใหม่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ ชีวิต ความรัก ความสัมพันธ์ใด ๆ ก็ตาม ที่บทความนี้เพียงสะท้อนให้เห็นว่า การพร้อมที่จะเริ่มนับ 1 ใหม่ อาจต้องเคยคิด และเคยวางแผนไว้แต่ต้นบ้างว่า “เราควรพร้อมเสมอ
ต้องพร้อมนับ 1 ใหม่
การนับ 1 ใหม่ หรือเริ่มต้นใหม่ของหลายคนอาจเกิดจากความจำเป็น เช่น ทุกอย่างถูกทำลายลงไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้นอกจากเริ่มใหม่ แต่ในด้านหนึ่งไม่มีวันที่มันจะไม่เหลืออะไรเลย อย่างน้อยก็ความรู้ ประสบการณ์ และในทางตรงกันข้าม หากคิดว่าพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ในบางอย่าง ก็มิใช่ว่า “ต้องทำลายสิ่งที่มี หรือทิ้งทุกอย่างก่อน ไม่ให้เหลืออะไร” เช่นกัน…
ตัวอย่าง เช่น การเริ่มธุรกิจใหม่ หลายคนอาจเลือก เซ้งร้านเดิมทำร้านใหม่ หรือเลิกธุรกิจเดิม ไปทำธุรกิจอื่น แต่ในมุมหนึ่งเราอาจเริ่มธุรกิจใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องทิ้งธุรกิจเดิมก็ได้ เช่น ร้านข้าวมันไก่ เหมือนเดิม… แต่ชื่อร้านใหม่ สูตรใหม่ การจัดการใหม่ การตกแต่งใหม่ ปรับปรุงจากสิ่งที่เคยเรียนรู้มา เพราะมันก็ดีกว่าย่ำกับที่ หรือต้องถอยหลังไปคิดว่า ขายอะไรดี? และต้องดูให้ดีว่านี่คือการเริ่มใหม่บนสิ่งแวดล้อมใหม่หมด ไม่ใช่แค่ปรับปรุงหรือที่ได้บอกไปว่าเพียง Restart ที่ผลลัพธ์ก็อาจไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก…
หรือในชีวิตความสัมพันธ์ เราอาจอภัยแฟน แบบหมดใจ ไม่ว่าเขาจะผิดอะไรมา บนความเข้าใจใหม่ และเรียนรู้ว่า แฟนคนนี้ที่จริงนิสัยอย่างไร หรือปัจจุบันเขาเป็นอย่างไร ไม่ใช่คนที่เราเคยคบ เคยรู้จัก และบางทีเราก็แค่ไม่เคยรู้จักเขาดีพอ แต่ถ้าเพียงอภัยได้แต่ไม่ลืม หรือยังคาดหวังให้เขาเป็นแบบที่เรา “เคยคิด” นั้นมันก็ไม่ใช่การเริ่มใหม่ เพราะไม่นานมันก็ต้องแย่เหมือนเดิม เพราะลึก ๆ เขาก็เป็นแบบนั้น เราก็ยังคงเป็นแบบนี้…
การพร้อมนับ 1 ใหม่อาจเริ่มจาก “ไม่คาดหวัง (กับสิ่งเดิม)” กับแนวคิดเดิม วิธีการเดิม ผู้คนและสิ่งแวดล้อมเดิม เพื่อไปสู่เป้าหมายเดิม หรือเป้าหมายใหม่ก็ได้ เพราะปัญหาจุดแรกที่เรายังนับ 1 ไม่ได้ หรือทำใจในการนับ 1 ไม่ได้เพราะเรายังคาดหวัง ยังจดจำ หรือพร้อมเพียงแต่จะเดินไปในเส้นทางเดิมที่มันไม่เคยดี…
อีกสิ่งหากคิดให้ดีเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วก็ตาม เหมือนโทรศัพท์มือถือ กับคอมพิวเตอร์ หากเรามี Back up (แบคอัพ-สำรองข้อมูล) ไว้พร้อม มันจะพังเมื่อไหร่ เสียเมื่อไหร่ หายเมื่อไหร่ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มอะไรใหม่หมด เพียงแต่ว่าในชีวิตเราอะไรที่ต้อง Back up บ้าง แต่ละคนก็อาจต่างกันไป สำคัญแค่เคยสำรองไว้หรือเปล่า? สิ่งสำคัญคือต้องมีหัวใจที่เข้มแข็งและเข้าใจว่า ชีวิตควรจะพร้อมนับ 1 ใหม่ได้เสมอ…
และที่สุดแม้จะพร้อมยอมรับหรือไม่ เมื่ออะไรมันเกิดพังขึ้นมาก็ “คิด” ไม่ต่างจากมือถือ คอมพิวเตอร์เช่นกัน… เพียงแค่ว่า “มันช่วยอะไรไม่ได้” นอกจากเริ่มใหม่อีกครั้ง
บทความฉบับปรับปรุง เผยแพร่ครั้งแรก Facebook Sirichaiwatt เมื่อ 23/09/2020