ทักษะ ความรู้ พรสวรรค์ และเทปกาว?

by

| Home » บทความดีๆ » การพัฒนาตนเอง Think+ » การเปลี่ยนแปลงตัวเอง » ทักษะ ความรู้ พรสวรรค์ และเทปกาว? |


ทักษะ ความรู้ พรสวรรค์ หลายคนอาจมองว่าคล้ายคลึงกัน หรือเป็นส่วนประกอบของกันและกัน แต่ถ้ามองถึงที่มาที่ไป ล้วนแตกต่างกัน อีกผมยังเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้กำหนดความสำเร็จของคนเราได้ และปิดกันการพัฒนาตนเองของหลายคนได้ ส่วนเทปกาวมาไงนั้น? มันก็มีเรื่องของมันอยู่..

ขี้เกียจอ่าน กดฟังแทนก็ได้นะ [Podcast]

ฟังบน Youtube

ตั้งชื่อบทความนี้ทีแรกไว้ว่า ทักษะ ความรู้ พรสวรรค์ และเทปกาว? พอเขียนจบ อยากจะเพิ่มว่า “ทักษะ ความรู้ พรสวรรค์ และเทปกาว? กับ มาราโดนา” คงจะงงไปกันใหญ่ 🤣

มาเข้าสู่เนื้อหากันดีกว่า เริ่มจากตรง 3 สิ่งที่กล่าวไป คือ ทักษะ ความรู้ พรสวรรค์ เราจะลองแยกแยะดูว่า แตกต่างกันอย่างไรในบทความนี้ และมีแง่คิดประโยชน์อะไรในบริบทนี้

ความรู้ : น่าจะเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ยาก เพราะเกิดได้จากทุกสัมผัสของคนเรา การได้เห็น(อ่าน) ได้ยิน ได้ลองสัมผัส ขึ้นอยู่กับว่าเป็นความรู้ด้านไหน แต่ทั้งสิ้นล้วนเกิดขึ้นกลายเป็นความ จดจำ บันทึกไว้ในสิ่งที่มีประโยชน์ เอาไว้ใช้ประโยชน์

ทักษะ : แปลความตามหลักว่า ความชำนาญ ที่อะไร ๆ หากเกิด(ทำได้)เพียงครั้งเดียวนั้น จะเรียกว่า ชำนาญคงไม่ได้ ความชำนาญ ย่อมเกิดจากการลงมือทำหลายครั้ง หรือฝึกฝน จนมากประสบการณ์ ตรงนี้เปรียบกันระหว่าง ความรู้ กับความชำนาญ เราคงพอจะเริ่มเห็นความแตกต่าง

พรสวรรค์ : ที่เขาบอกว่าสิ่งนี้มีมาแต่กำเนิด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ เลือกไม่ได้ แต่ในอีกด้าน โดยอย่างยิ่งในหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาแนวใหม่หลายเล่ม ไม่อยากให้เชื่อหรือยอมรับในเรื่องนี้ ซึ่งเดี๋ยวผมก็จะไล่เรียงกันไปดู

ทีนี้แล้วอะไรสำคัญสุดในการสร้างความก้าวหน้า หรือพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จ ถ้ามองจาก 3 สิ่งที่เรากำลังพูดถึงอย่างเท่าเทียม ไม่มีปัจจัยอื่น การมี พรสวรรค์ ย่อมน่าจะทำให้คน ๆ หนึ่งก้าวหน้าไปได้ไกลกว่า ก็เพราะคนมีความรู้ หรือมีทักษะ มีมากมาย แต่จะเก่งแค่ไหนก็ไม่รู้.. คนมีพรสวรรค์ สิเก่งแน่นอน..

คนไม่มีพรสวรรค์

ถ้าเราหลงคิดอะไรคล้าย ๆ แบบนี้ ในแง่ที่คนเก่ง คนสำเร็จ ต้องมีอะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่ความรู้ และทักษะนั้น ก็จะปิดตายการพัฒนาของคน ๆ นั้นไปเลย เพราะว่าเมื่อเขารู้(มีความรู้) ได้ลองทำ(มีทักษะ) และไม่สำเร็จ(ดั่งใจ) เขาอาจล้มเลิกไปด้วยเหตุผลว่า เราคงสู้พวกมีพรสวรรค์ ไม่ได้

การจะบอกว่าเรื่องพรสวรรค์นั้นไม่มีจริงเลย ก็คงไม่ใช่ ซึ่งเราอาจเคยสงสัยว่า คนบางคน เก่งอะไรง่ายดายเหลือเกิน เขามีพรสวรรค์แน่ๆ..

อยากให้ลองมาคิดดูกันแบบเป็นกลาง ปล่อยวางความเชื่อลงก็อาจนึกได้ว่า อะไรที่เราควรเรียกว่าพรสวรรค์กับสิ่งหนึ่ง เช่น ในด้านกีฬา คนตัวสูง ใหญ่ ได้เปรียบในกีฬาบางประเภทใช่หรือไม่? เราจะเรียกว่าพรสวรรค์ได้หรือไม่? มุมหนึ่งก็อาจมองว่าใช่ อีกมุมหนึ่งก็บอกว่า “แค่ได้เปรียบ”

ในกีฬา หลายประเภทคนที่รูปร่างดูเสียเปรียบ ก็มีเก่งมากมาย เช่น ถ้าคุณดูฟุตบอล รู้จักตำนานสักนิดหนึ่ง คุณคงจะรู้จัก ดีเอโก้ มาราโดนา (Diego Maradona) นักฟุตบอลที่หลายคนยกว่า เก่งที่สุดในโลก สำหรับคนไม่รู้จักลองค้นหาบนเว็บไซต์ดูรูปร่างเขา จะพบว่า ไม่น่าจะเก่งที่สุดได้เลย วิเคราะห์จากตรงนี้ต่อว่า ความเก่งของมาราโดนาคืออะไร หรืออะไรเป็นพรสวรรค์ของเขา การยิงประตู? การเลี้ยงบอล? การยืนตำแหน่ง? การวิเคราะห์คู่ต่อสู้? เราคงหาไม่เจอ หรือหลายคนบอก ก็ทั้งหมดนั่น.. ซึ่งไม่ผิดเลย (บทความนี้เขียนไว้นานแล้ว ยุคนี้ถ้ายกตัวอย่างเป็น ลิโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi) ก็อาจจะนึกออกได้เช่นกัน)

แต่เมื่อคุณ ค่อย ๆ แยกออกมา คุณจะเริ่มรู้สึกว่า ที่จริงในส่วนประกอบเหล่านั้น ก็ล้วนเป็นทักษะ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การยิงประตู, การครองบอล, การอ่านเกม ที่ต่างล้วนมีคนเก่ง ๆ ในแต่ละทักษะ เหมือนกัน เพียงแต่ อาจไม่เท่ากันบ้าง หรือไม่เก่งไปหมด และมากกว่านี้ มาราโดนา ก็ไม่ได้เล่นดีตลอดเวลา เหมือนกันกับนักฟุตบอลเก่ง ๆ ทั่วไป ที่มีฟอร์มตกเป็นบางครั้ง ภาพรวมคือ เขาแค่มีระดับในทักษะต่าง ๆ ที่สูง รวมถึงรักษามาตรฐานการเล่นได้ดีกว่านักเตะคนอื่นก็เป็นได้ นั่นทำให้เขาถูกยกว่าเก่งกว่าคนอื่น ซึ่งก็สมควรได้รับคำชมนั้น แต่แท้แล้วใช่ว่าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เหนือว่านักเตะทั่วโลกดั่งเช่นมนุษย์ต่างดาว ไม่มีทักษะใดที่นักเตะคนอื่นทำแบบมาราโดนาไม่ได้ (เว้น Hand of god ตบบอลเข้าประตู เรื่องขำๆ นะครับ 😜)

ถ้าคิดตามกันทันตรงนี้ เมื่อเราแยก หรือแตกประเด็กออก คง มีเหตุผลมากขึ้นที่ทำให้คำว่าพรสวรรค์ ที่จริงอาจเหมือนการรวมทักษะชนิดหนึ่ง มีการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

ไปต่อกันเรื่องเดิมในด้านกีฬา ที่จริง คนที่มีรูปร่างดี ร่างกายแข็งแรง ก็น่าจะเรียกว่ามีพรสวรรค์ทางกีฬานะ แต่ันก็อาจไม่ใช่ เพราะดังที่เห็นคนรูปร่างดีมากมาย ก็ใช่ว่าจะเล่นกีฬาเก่งเสียหมด เราเชื่อแค่สิ่งที่เราเห็น พรสวรรค์ คือคำตอบของสิ่งที่เราไม่เห็นก็เท่านั้นหรือเปล่า? เพียงแต่ต้องยอมรับว่า การมีรูปร่างดี คือ ต้นทุนที่ดี ถ้าเขาต่อยอดไปได้ หลายคนก็อาจเรียกมันว่า พรสวรรค์ อยู่ดีนั่นเอง

ดังที่กล่าวเพียงเพราะเราไม่เห็น เราจึงยกประโยชน์ให้คำว่า พรสวรรค์ และแน่นอนว่า มันยากที่จะเห็นที่มาที่ไปของความสำเร็จของคน ๆ หนึ่ง เชื่อว่าถ้าถามหลาย ๆ คนที่เขาประสบความสำเร็จ เขาก็คงบอกว่า “เขาไม่ได้มีพรสวรรค์” อะไร

ต้นทุนที่เรามองไม่เห็นเอง

หลานชายผมคนหนึ่งที่ผมเห็นแบบใกล้ชิดมาตั้งแต่เกิด เขาเป็นนักวิ่งวัยประถม วิ่งได้เร็วมาก เด็กคนนี้มีพรสวรรค์แน่นอนในสายตาคนอื่น เพราะยังเด็กอยู่ไง “ไม่เห็น” ไปฝึกวิ่งที่ไหน..

ด้วยความที่ผมเห็นการเติบโตของเขา ผมกลับไม่แปลกใจ พ่อของเขาใส่ใจสุขภาพลูกเขามาก พาไปเดินเล่นตั้งแต่เล็ก ๆ เป็นการออกกำลังทุกวัน และเป็นกิจวัตรที่เขาพาเดินเข้าออกซอยบ้าน(ในกรุงเทพฯ)ประจำ ด้วยระยะทางที่ผู้ใหญ่บางคนยังขี้เกียจเดิน วัยเพียงไม่ถึง 3 ขวบดี เด็กคนนี้เดินขึ้นภูเขาเที่ยวกับพ่อได้สบาย (ส่วนหนึ่งเพราะความเป็นเด็กที่สนุกมากกว่าเหนื่อย) และพ่อเขา ไม่เคยคิดหรือวางแผนว่าจะต้องให้ลูกเป็นนักวิ่ง ไม่เคยฝึกซ้อมทางกีฬาอะไรเลย พรวรรค์การวิ่งเด็กคนนี้มีหรือไม่? หรือบังเอิญได้ขาที่แข็งแรงจากรูปแบบการเลี้ยงดูและการชีวิตดังกล่าว?

ในยุคสมัยที่การเลี้ยงเด็กล้วนมีข้อมูลทางการแพทย์มากมาย หลายคนรู้จักคำว่า กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ เด็กคนหนึ่งวาดรูปได้ดี ก็เพราะกล้ามเนื้อพวกนี้บังคับมือไม่ใช่หรือ ยุคนี้พ่อแม่ที่ใส่ใจก็จะสร้างทักษะหลายอย่างให้กับลูกได้โดยไม่รู้ตัว รวมถึงการที่เด็กสมัยนี้จึงปัด iPad ได้รวดเร็ว 😁 จะตีความว่ามีพรสวรรค์ทางเทคโนโลยีไหม?

ก็คล้ายยุคสมัยก่อนมันก็อาจเกิดเพราะความบังเอิญของเด็กคนหนึ่งในการเลี้ยงดู พ่อเขาอาจปั้นควาย วางไว้ข้าง ๆ เด็กจับเล่นหมุนไปมากลายเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมือโดยธรรมชาติ ทำให้เด็กคนนี้วาดรูปได้ดี ประกอบกับเชิงจิตวิทยาที่ว่า เมื่อพอวาดรูปดีขึ้นมาแล้วถูกชื่นชม เด็กก็ยิ่งทำสิ่งนั้นด้วยความสุข แน่นอนว่ามันต่อยอดกันไป พรสวรรค์ ทางศิลปะ ที่เหมือนว่าไม่มีที่มา บางที นี่ก็แค่ทักษะ (การทำซ้ำ หลังจากได้รับคำชม) ผ่านต้นทุนทางกายอีกเช่นกัน และมันนำให้เขาเก่งขึ้นด้วย ความรู้.. (เทคนิคการวาดที่มากขึ้น) ถ้าเขายังทำมันต่อไป..

จุดสังเกตุหนึ่งคุณอาจจะเริ่มเห็นว่า คนเราเพียงแค่มีต้นทุนต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราพัฒนาอะไรไม่ได้ ในอีกด้านมีต้นทุนมากกว่า ต่อยอดไม่ได้มันก็ไร้ประโยชน์ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีต้นทุนดี ๆ ในหลายเรื่อง แต่ติดกรอบความคิด (Mindset) ข้ออ้าง ที่คล้าย ๆ กับการไปคิดว่าเราไม่มีพรสวรรค์ แค่เก่งระดับหนึ่ง ไม่กล้า ต่าง ๆ นา ๆ จึงสูญเสียทักษะเหล่านั้นไป ทั้งที่น่าจะทำให้สำเร็จได้ในอดีต

แล้วในเชิงความคิดล่ะ พรสวรรค์ ทางความคิด ไอเดียล่ะ เช่นศิลปะก็ไม่ใช่แค่วาด เรื่องนี้หากเราเข้าใจกลไกของความคิด ของสมอเสียหน่อย จะพบว่า เราล้วนรับสิ่งต่าง ๆ จากประสบการณ์ สั่งสมเป็นจิตใต้สำนึก ที่ส่งผลต่อความคิดตัดสินใจในหลายด้าน ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตแต่ละคนพบเจอและเลือกอะไรต่อไป เรื่องนี้ก็คล้ายกัน คนที่มีโลกในมุมแคบก็ยากที่จะมีความคิดเชิงสร้างสรรค์ ก็เพราะมันเห็นมาไม่มากพอ มีประสบการณ์ไม่มากพอ หรือ ชีวิตไม่ค่อยได้ตัดสินใจอะไร ถูกตำหนิ ถูกฝังหัวว่าการทำผิดเป็นเรื่องใหญ่เกินจริง มาตลอด ทำให้กลายเป็นคนกลัวการตัดสินใจ มันก็ย่อมส่งผลให้เป็นคนไม่ชอบคิด แต่กลับกัน ถ้ามีชีวิตที่ต้องคิดบ่อย ๆ เจอปัญหาก็ต้องแก้เอง แก้บ่อย ๆ คิดบ่อย ๆ การทำซ้ำ ๆ ก็ย่อมเป็นทักษะอย่างหนึ่ง ขยายต่อไปได้อีกว่ากล้าประยุกต์ กล้าปรับปรุง รวมแล้วบางที พรสวรรค์ ทางความคิดก็ไม่ได้มีอะไร มากกว่า ที่ผ่านมามี ประสบการณ์ กับมุมมองต่อสิ่งต่างๆ อย่างไร ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องที่เคยพบเจอหรือเหมือนเดิม แต่มันจะมีบางสิ่งที่ทำให้เกิดการตัดสินใจไปต่างกัน และแน่นอนมันเปลี่ยนได้ทันที ถ้าคุณเข้าใจ

ต้นทุนทางกายอาจสร้างไม่ได้แล้ว แต่ทางความคิดสร้างได้มากมายไม่สิ้นสุดด้วยความรู้

เมื่อคุณอายุมากขึ้นแล้ว ที่จริงก็คิดว่าทุกคนที่ผ่านมาอ่านอาจอยู่ในวัยที่เป็นผู้ใหญ่ ย่อมอยากต่อยอดทางความคิด ดังนั้น ต้นทุนทางกายอาจสร้างไม่ได้แล้ว แต่ทางความคิดสร้างได้มากมายไม่สิ้นสุดด้วยความรู้ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่ในแต่ละวันของชีวิต หรือจบที่ ไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีต้นทุน ไม่มี นั่น นี่ โน่น.. และชีวิตหยุดเท่านี้..

เครดิตภาพ www.baanandbeyond.com

เทปกาว…

อาทิตย์ก่อนหน้าผมจะเขียนบทความนี้ ผมไปจัดกิจกรรม Team building ให้หน่วยงานหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีโครงการสร้างอัตลักษณ์องค์กรอยู่ด้วย ด้วยการทำกิจกรรมจึงทำให้อุปกรณ์การทำงานของเรามีมากมาย หนึ่งในนั้นคือ เทปกาว เรามีหลายอัน และมีอันหนึ่งเป็นสีฟ้า..

ในระหว่างนั้นเราจำเป็นต้องนำกระดาษฟลิปชาร์ทขึ้นไปแปะ เพื่อให้ผู้ทำกิจกรรมอ่านข้อความ ทีมงานผมคนหนึ่ง ก็ไปหยิบกระดาษกาวสีฟ้า นี้มาติด ในตอนนั้นผมไม่ได้มอง หันมาอีกที เขานำมันไปติดไว้กับตัวแอร์และบอกว่ามันติดไม่อยู่ (เลยต้องติดตรงนี้) ผมหัวเราะเล็กน้อย แล้วบอกว่ามันจะติดได้ยังไง เพราะมันไม่ใช่สำหรับติด มันไม่เหนียว เขาอาจงง (หรือเข้าใจไปแล้วไม่แน่ใจ) ด้วยความรีบจึงปล่อยไปเช่นนั้น…

เทปกาวสีฟ้านี้ คือเทปกาวทำแนว ทำเขต หรือสำหรับตีเส้นเวลาทาสี เราเอามาใช้ทำเส้น เขต แปะพื้นในห้องประชุม ด้วยคุณสมบัติที่มันไม่ติดพื้นผิวเกินไป ทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ลอกออกไม่ทำให้พื้นห้องประชุมเขาเป็นรอย ผมคิดแบบรับผิดชอบสถานที่ที่เราไปทำงาน จึงนำเทปกาวแบบนี้มาใช้ด้วย แน่นอนว่าเรามีเทปกาวอีกแบบสำหรับไว้ติดอะไรจริง ๆ

แค่เทปกาวก็มีหลากหลาย ด้วยคุณสมบัติ ต่างกัน เทปโอพีพี ที่ผนึกกล่องกระดาษ คุณสมบัติคือเหนียว แกะแล้วกล่องขาดไปด้วย แต่นั่นคือคุณสมบัติมัน ให้ยึดติดกล่องให้อยู่ไม่ให้ของข้างในหลุดมาได้ง่าย ๆ หรือถ้าถูกแกะแล้วยังไงก็ต้องรู้

เทปกาวย่น ไว้ติดกับสิ่งต่างๆ ได้หลากหลาย ที่นอกจากนี้ยังมีเทปกาวย่นกันร้อน, แบบกันชื้น, เทปสองหน้าแบบโฟม, แบบบาง, เทปใสแบบฟิล์ม เหล่านี้เป็นแค่ความรู้ กับไม่รู้ ที่แต่ละคน เอามาใส่ใจในการทำงานต่างกัน..

ความรู้ ทำให้เราเริ่มทำบางอย่างได้ ทำไปมากๆ ก็เกิด ทักษะ ทักษะที่เกิดจากการทำจนชำนาญ แต่ถ้าขาดความรู้ เราก็ทำได้แค่นั้น บางทีก็คิดว่าชำนาญเหมือนมองว่าก็แค่เทปกาว แบบนี้ก็ไม่พัฒนา ที่หากมองดี ๆ มันคือ ความรู้ใหม่ ได้ทักษะใหม่ เพื่อไปเรียนรู้ใหม่..

เมื่อมีทักษะทุกด้านในงานที่เราต้องทำ เก่งทุกทักษะ… เราก็คงเหมือนมาราโดนาได้ ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง แต่ถ้าเชื่อพรสวรรค์ ก็จบกันไปตรงนี้.. โชคดีครับ..

ปล. หลายคนคงยังแอบงงอยู่ดี เกี่ยวอะไรกับเทปกาว 😅 เพราะเทปกาวเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเรื่องนี้ครับ

การพัฒนาตนเอง ทักษะ ความรู้ พรสวรรค์ และเทปกาว?

Sirichaiwatt Avatar
วิทยากร คอลัมนิสต์ นักเขียน นักคิด ที่ปรึกษา จากสายด้านธุรกิจ การตลาด สู่การจัดการบุคคลากร และว่าที่นักจิตวิทยาการปรึกษา
แสดงความคิดเห็น