อย่าอิจฉาใคร เพียงเพราะไม่มีความสุข

by

| Home » บทความดีๆ » การพัฒนาตนเอง Think+ » อย่าอิจฉาใคร เพียงเพราะไม่มีความสุข |


ความ “อิจฉา” เป็นเรื่องของความอ่อนไหวทางอารมณ์ บางครั้งก็ตรงไปตรงมา บางครั้งก็ซับซ้อน แต่เราล้วนคงเคยสัมผัสประสบการณ์ภาวะอารมณ์นี้ มุมหนึ่งก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราต้องอิจฉากันบ้าง แต่บางทีไม่ให้มันเกิดขึ้นคงดีกว่า โดยอย่างยิ่งถ้าอิจฉาใครเพียงเพราะ “ไม่มีความสุข” นั่นจะยิ่งทำให้ สุขห่างไกลเราไปอีก

คนที่มีความสุข ย่อมไม่อิจฉา

บนความหมายอย่างเป็นทางการของภาษาไทย อิจฉา ถือว่าน้อยกว่า “ริษยา” ดังนั้น อิจฉาไม่จำเป็นต้องมีความเกลียดชังเกี่ยวข้อง หรืออีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับรู้ และระดับความมากน้อยมักเกิดอยู่ภายในตัวเราเองเป็นหลัก แม้แรงกระตุ้น หรือปัจจัยที่ทำให้เกิดความอิจฉา มาได้จากหลายทาง “การไม่มีความสุข” ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ โดยจะเคยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

หากบอกว่า คนที่กำลังมีความสุข จะไม่นึกอิจฉาใคร… เพราะส่วนใหญ่แล้วภาวะสุขเราก็สนใจแต่ตัวเองอยู่แล้ว ดื่มด่ำความสุขไปจะมาสนใจเรื่องคนอื่นทำไมในตอนนั้น และอาจนึกออกด้วยว่า เวลาเราเป็นฝ่ายเห็นคนอื่นมีความสุขต่างหาก จึงรู้สึกอิจฉาได้ แต่นี่ก็เพียงส่วนเดียวในภาวะอารมณ์ที่เรียกว่าสุข เกิดขึ้นชั่วครู่ ชั่วคราว ไม่ใช่ตลอดไปหรือเสมอไป

ความอิจฉาย่อมมีพื้นฐานจากการเปรียบเทียบเป็นสำคัญ ดังนี้สิ่งแรกที่เป็นข้อสังเกตคือ หากเราไม่ได้มองใคร หรือเห็นสิ่งใดให้เกิดการเปรียบเทียบ ถูกกระตุ้น ย่อมไม่ทำให้ความอิจฉานั้นเกิดขึ้น แต่ด้วยชีวิตที่ดำเนินไป แม้จะไม่ได้ไปสอดส่องหา บางสิ่งก็เข้ามาเองให้รู้สึกได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ว่าจะไปมองเห็น หรือมีสิ่งกระตุ้นเข้ามาให้เห็นโดยบังเอิญ ก็ไม่อาจทำให้เรารู้สึกอะไรได้หากเรามี “ความสุขของเราเอง”

ดังตัวอย่าง เช่น…

มันอาจดูน่าอิจฉาที่เห็นคนออกรถใหม่ป้ายแดง แต่สำหรับคนที่ชอบแต่งรถเก่า หรือเล่นรถคลาสสิค ก็อาจไม่รู้สึกอิจฉาสักนิด

หรือ อาจดูน่าอิจฉาที่เห็นคนขับรถสปอร์ต แต่สำหรับคนชอบปั่นจักรยานเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากไม่อิจฉาแล้ว อาจรู้สึกถึงอันตราย มลพิษ หรืออื่น ๆ แทนก็เป็นได้

ซึ่งไม่ได้หมายความว่า คนที่มีความสุขบนแนวทางตัวเองเหล่านั้น จะไม่อยากได้รถป้ายแดง ไม่ชอบรถสปอร์ต ไปเสียหมด เพียงแต่อย่างน้อยเขาย่อมรู้สึกว่า “ไม่จำเป็นต้องอิจฉา” ก็เท่านั้น

ความสุขพอ อาจไม่ใช่ความพอเพียง

จากตัวอย่างข้างต้นอาจมองไปอีกมุมก็ได้ เช่นว่า คนชอบปั่นจักรยานอาจไม่อิจฉาคนขับรถสปอร์ตก็จริง แต่ก็มีโอกาสอิจฉาคนที่มีจักรยานสวย หรือจักรยานรุ่นใหม่ได้อยู่ดี รวม ๆ แล้ว คนที่ไม่อิจฉาคือคนที่รู้จักพอมากกว่า…

คนที่พอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่คล้ายที่กล่าวไปข้างต้นว่า ริษยา มีระดับความแตกต่างกับอิจฉา และในความอิจฉาเอง ก็มีระดับย่อยลงมา ขึ้นอยู่กับว่าจะถูกใช้แทนด้วยคำว่าอะไร บางครั้งเราแค่ “หมั่นไส้”, “อยากได้บ้าง” กระทั่ง อิจฉา ก็เป็นคำหยอกล้อเชิงบวกได้ในหลายกรณี ที่การแบ่งแยกคงอยู่ที่ว่ารู้สึก “ทุกข์” หรือไม่จากการอิจฉานั้น

ดังนี้หากใครคนหนึ่งที่ชอบปั่นจักรยาน แม้อาจอิจฉาคนมีจักรยานรุ่นใหม่ แต่ก็ยากจะถึงขั้นริษยา หรืออยากได้บ้างจนเป็นทุกข์ เว้นเสียแต่ว่า เขาไม่ใช่ผู้มีความสุขจากการปั่นจักรยานโดยแท้จริง และนี่กำลังหมายถึงว่า บางครั้ง “ความสุขพอ” ก็ไม่จำเป็นต้องพอเพียง หรืออยู่ในลักษณะที่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพียงแต่เป็นผู้รู้ว่ากรอบความสุขของตนอยู่ที่ไหน และการที่ยังมีความต้องการ ในอีกด้านก็อาจเป็นแรงขับ แรงผลักให้ก้าวหน้าไขว่คว้าในสิ่งที่ต้องการ ที่เป็นเป้าหมายอันมีความสุข ที่สำคัญความรู้สึกเช่นนี้มันจะแตกต่างอย่างมาก เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย แล้วได้แต่อิจฉา…

อิจฉาเพราะไม่มีความสุข?

เมื่อใดก็ตามที่เราไม่ค่อยมีความสุขกับเรื่องหนึ่ง เราย่อมรู้สึกได้ถึงความอิจฉา ไม่พอใจได้ง่าย ตัวอย่างในด้านตรงกันข้ามแบบชัดเจน เช่น หากทีมกีฬาที่เราเชียร์แพ้ต่ออีกทีม แล้วเราเห็นทีมคู่แข่งได้ถ้วยแชมป์ไป เราย่อมอิจฉาในใจประมาณหนึ่ง แต่ถ้าทีมเราเป็นฝ่ายได้แชมป์ เราจะไม่รู้สึกอิจฉาอีกฝ่ายสักนิด ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่างง่าย ๆ ที่ให้เห็นด้านตรงข้ามกันแบบชัดเจน

ซึ่งหากคนหนึ่งไร้ซึ่งความสุขของตัวเอง คล้ายไม่มีเป้าหมายชีวิตที่มีสุข ผู้นั้นย่อมไม่ค่อยยินดีต่อการได้มาซึ่งความสุขของใคร โดยไม่เกี่ยวว่า คนนั้นเขาจะเคยมีมากกว่า มีน้อยกว่า หรือไม่มีก็ตาม เช่น คนที่มี จักรยานหลายคัน แต่หมั่นไส้คนที่เพิ่งมีจักรยานคันแรก แบบอิจฉา หมั่นไส้ที่เขามี แทนที่จะ รู้สึกยินดีที่จะได้มีเพื่อนร่วมปั่น เพื่อนร่วมวงการ ก็ยิ่งสะท้อนชัดว่า แท้จริงเขาไม่มีได้มีความสุขกับสิ่งนี้ อาจต้องการเพียงเอาชนะ หรือสะใจในความไม่มีของคนอื่นเท่านั้น

ในช่วงที่เราขัดสนเงินทอง เราอาจอิจฉา ไม่สบายใจที่เห็นคนอื่นซื้อของใหม่ มีเงินท่องเที่ยว หรือกินหรูดูดี อะไรที่คล้ายกันนี้ ที่ลึก ๆ ดูเหมือนว่าเราอยากดึงเขาให้ต่ำลง ดึงเขาให้ทุกข์ในแบบเดียวกับเรา นั่นคือภาวะความอิจฉาเพราะไม่มีความสุข

อีกตัวอย่างหนึ่งที่หลายคนคงเคยมีประสบการณ์สัมผัสได้ คือเมื่อเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาคนหนึ่งก้าวหน้าเติบโต มีฐานะบางอย่าง แต่เวลาเจอหน้าเขาแทนที่จะชื่นชมให้เกียรติ เรากลับเรียกชื่อล้อเขาเหมือนวัยเด็ก เพื่อดึงเขาลงให้อยู่ระดับเดียวกับเราที่ต่ำต้อยกว่าทางสังคมเป็นต้น ซึ่งแต่ละคนอาจแสดงออกอะไรแปลก ๆ แบบไม่รู้ตัวได้ในตอนที่อิจฉาเพราะตัวเองไม่มีความสุข ไม่มีความภาคภูมิใจเหมือนเขา ที่สำคัญในตอนนั้นเรามักไม่รู้ตัวหรอกว่า เรากำลังอิจฉา…

ถ้าตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ แล้วเราจะหาสุขที่เป็นของเราเจอได้อย่างไร ในเมื่อจิตใจขุ่นมัว จดจ้อง จดจ่อกับสิ่งที่ไม่สวยงามทางใจเราเอง เมื่อใจมีทุกข์ ควรดับทุกข์ของตน เมื่อใจไม่มีความสุข ควรหาสุขแท้ของตน ไม่ใช่คิดทำลายสุขคนอื่น ทำร้ายจิตใจคนอื่นด้วยความอิจฉาลึก ดึงคนอื่นให้ลงมาเทียบเท่าตน เพราะสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่มีวันทำให้เรามีความสุขได้เลย

อย่าอิจฉาใคร เพียงเพราะไม่มีความสุข

Sirichaiwatt Avatar
วิทยากร คอลัมนิสต์ นักเขียน นักคิด ที่ปรึกษา จากสายด้านธุรกิจ การตลาด สู่การจัดการบุคคลากร และว่าที่นักจิตวิทยาการปรึกษา
แสดงความคิดเห็น