คุณเชื่อเรื่องเวรกรรมไหม? สำหรับผมแล้ว เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น ตามประสาความเป็นผม ขอเกริ่นอะไรยาว ๆ สักหน่อย เริ่มต้นที่ว่า ผมเพิ่งซื้อนาฬิกามาเรือนหนึ่ง..
ขอย้อนไปอีกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวจะอ่านจบเร็วไป ไม่นานมานี้ก่อนที่ลูกสาวจะเกิด ผมขยันทำในสิ่งที่เคยเกลียดมากที่สุดอย่างหนึ่งคือ “การวิ่ง” หลังจากหลุดพ้นความเชื่อหลายอย่าง การทำอะไรท้าทายในชีวิตจึงเกิดขึ้น และผมวิ่งแบบ ขยันวิ่งซะด้วย (ในตอนนั้น)..
จากที่วิ่งหนึ่งรอบสนามฟุตบอล (ราว 800 เมตร) แล้วเหมือนลงนรก เหนื่อยปานจะขาดใจตาย พัฒนาแรกที่ทำได้คือ 2 กิโลเมตร ที่รู้สึกเหนื่อยนะแต่สบาย ตอนนั้นดีใจมาก เห้ย 2 กิโลมันไกลนะเว้ย ลองนึกดูจากที่คุณคุ้นเคยสิ จากที่ไหน ไปถึงไหน มันจะรู้สึกถึงความไกลเลยนะ สมัยนั้นแรก ๆ วิ่งที่ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตฯ ข้างสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ไม่นานก็ย้ายมาวิ่งที่สวนรถไฟ.. ไม่เห็นเกี่ยวกับเวรกรรมเลย.. (ใจเย็น ๆ ยังไม่ถึง)
ตอนนั้นยังคงพัฒนาเรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงขั้นศึกษาจริงจัง แต่ก็อยากรู้ระยะที่ตัวเองวิ่งได้ จึงสรรหา แอพในมือถือสำหรับวิ่งมาใช้ การถือโทรศัพท์วิ่งนั้น ก็มีคนทำกันมากมาย.. แต่.. เดี๋ยวเสียงเตือนบางอย่างก็ดัง ก็สั่น ไม่ว่าจะข้อความ หรือโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ที่เปิดเตือนไว้
ชีวิตเหมือนคนมีกรรม..
ผมมันก็เป็นคนประเภทไม่ชอบคาใจ ว่ามีอะไรนะ? จึงวิ่งไป เปิดดูทุกครั้งไป.. ไม่ใช่เพียงแค่ตอนวิ่งหรอก ที่ผ่านมา หน้าจอ หรือโทรศัพท์ เตือนอะไรก็มักจนสนใจ เหมือนเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ให้อัพเดตก็รีบอัพ ถึงไม่เตือนก็คอยเฝ้าดูอยู่ดี แม้จะกรอง(ปิดเตือนบางอย่าง) ไปก็ตาม กะว่าเหลือไว้แต่สำคัญ.. แต่การให้ความสำคัญของเรานั้น บางทีมันก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า “สำคัญจริงหรือเปล่า?”
วันหนึ่งรู้สึกว่า ไม่ใช่โรคจิตหรอก เราใช้ชีวิตเหมือนคนที่มีกรรม ที่ต้องคอยตามชดใช้ หรือรับใช้ เสียงเตือน หรือการแจ้งเตือนต่าง ๆ เหล่านั้น มาบังคับให้ทำนั่น ทำนี่ รวมถึงหยุดสนใจสิ่งที่กำลังทำอยู่ แม้กระทั่งลืมสนใจคนที่อยู่ตรงหน้าเราได้..
จะแง่ชีวิตหรือการทำงาน โดยส่วนใหญ่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้จริงนัก ย้ำตรงคำว่า ส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้หมายถึงทั้งหมด..
ผ่านพ้นช่วงนั้นมาจนเกือบปัจจุบันที่ผมวางโทรศัพท์ไว้ไหนก็ไม่แน่ใจ บ่อยครั้งลืมด้วยซ้ำ ดีว่ามี 2 เครื่อง เจอเครื่องหนึ่งใช้โทรหาอีกเครื่องหนึ่ง ใครมีอะไรรีบด่วนคิดว่าเขาคงโทรเอง ต่อให้เป็นงานก็คิดว่าช้าหน่อยไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่ปล่อยทิ้งเลย เราก็เลือกที่จะเช็คดูเรื่องงานเองเป็นช่วง ๆ และคิดว่าถ้าพลาดคงไม่สายไป ซึ่งหลายเรื่อง ถึงรู้เร็วก็ใช่ว่าจะทำทันที..
เวรตามมา หรือปล่อยตามกรรม
หลังจากลูกเกิดเวลาวิ่งน้อยลง เพราะตั้งใจไว้แล้วว่ามีลูกต้องเลี้ยงเอง (ปัจจุบันอยู่ต่างจังหวัด) แต่ก็ได้วิ่งบ้างเพราะลงทุนซื้อลู่วิ่งมาไว้บ้าน แม้ความรู้สึกมันต่างกัน แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้วิ่งเลย เวลาผ่านไป ขยันวิ่งได้อีกครั้ง ทุกอย่างเริ่มลงตัว ลูกเริ่มโตรู้เรื่องบ้างแล้ว ก็อยากพัฒนาการวิ่งให้กลับไปเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ซัก 5 กิโลสบาย ๆ
จนซื้อนาฬิกาสำหรับช่วยการวิ่งรุ่นสมัครเล่นมา ที่จริงก็เคยอยากได้มาตั้งแต่ก่อนนี้แล้ว พอไม่ค่อยได้ออกไปวิ่งข้างนอกก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่ประเด็นอยู่ที่..
นาฬิกามันมีคุณสมบัติเชื่อมต่อมือถือให้ลิงก์การแจ้งเตือนต่าง ๆ มาได้ด้วย.. คงเป็นคุณสมบัติที่ไม่มีวันใช้ กว่าจะหนีเวรกรรมจากโทรศัพท์มาได้ แกยังจะตามมาบนนาฬิกาอีกเรอะ ไม่มีวัน!!
ประเด็นที่สำคัญกว่า.. บางเรื่องก็เหมือนสิ่งนี้ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่การแจ้งเตือน เพราะสำหรับหลายคนอาจจำเป็น และไม่ได้เป็นภาระ แต่หมายถึงว่า เอาตัวเองไปผูกกับบางเรื่อง แล้วรู้สึกว่ามันเป็นเวรกรรมตามมา ที่บางทีเรานั่นแหละ วิ่งตามเวร ตามกรรมนั้นเอง เอาตัวไปผูกเอง ตัดออก ปล่อยวางไป มันก็พ้นได้เอง..
บทความฉบับปรับปรุง เผยแพร่ครั้งแรก Facebook Sirichaiwatt เมื่อ 12/7/2019