คอลัมน์การตลาด MarkeThinks 13 : นักการตลาด นักคิด นักฝัน?
พิมพ์ครั้งแรก : นิตยสาร Foodbook ฉบับที่ 14
เชื่อว่าผู้ที่ติดตามคอลัมน์การตลาด MarkeThinks นี้ ถ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว ก็สนใจในเรื่องการทำธุรกิจ หรือไม่ก็ทำงานในส่วนที่อาจเกี่ยวข้องด้านการตลาด ซึ่งก็เชื่ออีกว่าหากชอบคอลัมน์นี้แล้วคงจะต้องติดตามหรือสนใจข้อมูล ข่าว หรือบทความการตลาดที่อื่นๆ อีกเป็นแน่ ที่ทุกวันนี้ บทความการตลาด ผู้ให้ความรู้ หรือกูรู มีมากมาย บ้างก็เป็นนักการตลาดจริง บ้างประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างมา(แต่ก็คิดว่าเก่งการตลาดกับเขาด้วย) บ้างก็เป็นนักคิด และมีส่วนใหญ่เป็นบทความ ที่แปลหรือลอกเลียนมา โดยอย่างยิ่งตามเว็บไซต์ต่างๆ..
ข้อมูลมาจากไหนนั้นอาจไม่ได้สำคัญที่สุด เพราะผมเองก็ยังอ่านบทความหรือสาระความรู้ทั่วไปอยู่เนืองๆ บางที่ก็ไม่มีอ้างอิงหรือมีหลักการชัดเจน เป็นสากล แต่ก็อ่านดูเข้าท่าดี ได้ไอเดียดี รวมแล้วสิ่งที่เป็นปัจจัยคืออ่านแล้วรู้เท่าทันหรือไม่ เช่น หลายบทความดี มีที่มา น่าเชื่อถือนำมาจากการแปล แต่รู้หรือไม่ว่า ข้อมูลการตลาดต่างประเทศ มันอาจใช้กับบ้านเราไม่ได้จริง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภค หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ แตกต่างกันมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งสถิตินั่นนี่โน่น ที่แม้จะจริง สำรวจจริง แต่มันเป็นของเขา และมันไม่ได้จริงกับประเทศไทย ภูมิภาคเรา ธุรกิจเราเลยสักนิด โดยอย่างยิ่งสถิติออนไลน์ต่างๆ ในทุกวันนี้
ข้อมูลมายังไงก็เรื่องหนึ่ง แต่เราที่เป็นผู้อ่านล่ะอยากเป็นอะไร? นักการตลาด นักคิด หรือนักฝัน? (ที่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำงานเป็นนักการตลาด)
ถามผมว่าแล้วอะไรคือนิยามที่จะเรียกตัวเองว่ามีความเป็น นักการตลาด นักคิด หรือนักฝัน? คงสรุปจบไม่ได้ตามบริบทที่แตกต่างกันไป แต่จากประสบการณ์จะลองเล่าให้ฟังว่า ผมเคยเป็นแค่นักฝัน.. นักคิด.. และจึงมองว่าตัวเองเป็นนักการตลาดได้ในภายหลัง
อะไรคือจุดเปลี่ยนและสิ่งแบ่งแยก สมัยที่เป็นเจ้าไอเดีย ผมยังเป็นแค่นักฝัน ไอนั่น “น่าจะดี น่าจะเจ๋ง” แต่มันเป็นเพียงความน่าจะ ที่มโนขึ้นมา ตามความเชื่อของตัวเองลำพัง นั่นมันแค่ “นักฝัน” เพราะคุณคิดเองเออเองคนเดียว
แต่เมื่อใดก็ตามเรามีหลักการ หรือทฤษฎีที่รองรับ ไม่ใช่ว่าหลักการหรือทฤษฎีถูกเสมอหรือตรงเป๊ะ นั่นแสดงว่าคุณไม่เข้าใจหลักการจริง ใช้ไม่เป็น แต่เข้าใจว่าเขาได้ทำกันมาแล้วดียังไงจึงกลายมาเป็นทฤษฎี หรืออย่างน้อยสิ่งที่คิดสร้างสรรได้มาแล้วมีคนอื่นเขายอมรับพอสมควร นี่ทำให้เรา ไม่ได้คิดจากตัวเองคนเดียว พอจะถือว่าเราเป็น “นักคิด”
ส่วนสุดท้ายผมกล้าพูดว่าคนทำงานการตลาดจริงๆ และเป็นที่ยอมรับในองค์กรขนาดใหญ่ หรือใดๆ ก็ตามเขาย่อมรู้ว่า ทำการตลาดก็ต้องได้ผลลัพธ์ นั่นคือความสำเร็จของ “นักการตลาด” ทว่าแล้วเป็นนักการตลาดหาก ไม่คิด ไม่ฝัน จะสร้างสรรค์ กลยุทธ์ ไอเดียใหม่ๆ ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร
นี่อาจเป็นการตีความสรุป นักการตลาด ควรเป็นคนที่มี ฝัน(ไอเดีย) คิดมันอย่างมีแบบแผน ลงมือทำหรือต้องรู้ว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างไร เพราะเมื่อยิ่งได้ผลลัพธ์มามากเท่าใด แน่นอนว่า เราคือนักการตลาดที่เก่งมากขึ้นเท่านั้น แต่หากเป็นนักคิด นักฝัน คิดมากฝันมาก มันก็แค่ลอยมาลอยไป กับไอเดียที่ไม่รู้ว่าจะดีจริงไหม คงไม่มีใครบอกว่าคิดมาก ฝันมากคือนักการตลาด.. ถึงตรงนี้ เรามีความเป็นนักการตลาดหรือยัง?