“ถ้า” ที่ไม่เข้าท่า

by

| Home » บทความดีๆ » การพัฒนาตนเอง Think+ » “ถ้า” ที่ไม่เข้าท่า |


บทความการ “พัฒนาตัวเอง” ส่วนใหญ่ก็เขียนเพื่อพัฒนาตัวผมเองด้วย แล้วก็คิดว่ามันคงได้สร้างประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย แม้หลายเรื่องอาจเป็นเพียงการพัฒนาบนมุมคิดเล็ก ๆ ที่แตกต่าง หรืออาจไม่ได้ผลสำหรับทุกคน

แต่ช่วงหนึ่ง (หลายเดือนเลย) ก็ไม่ค่อยได้เขียนอะไรใหม่ ๆ สักเท่าไร เหตุผลน่ะหรือ? ก็ ถ้า.. ไม่อย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนี้ ก็ถ้าอย่างโน้น เพราะมี “ถ้า..” มากไปนี่เอง..

ปัจจัยหนึ่งเหมือนที่คนเก่งหลายคนกล่าวไว้ ความสำเร็จนั้น ส่วนหนึ่งพึงต้องลงมือทำทันที และสิ่งที่ทำให้เราทำทันทีไม่ได้นั้น ก็มาจากสารพันเหตุผลของเราเอง “ถ้าเป็น…, ถ้ามี…, ถ้าไม่.., ฯ ก็จะทำได้อยู่หรอก” ผมเองก็เช่นกันที่คำว่า “ถ้า” เป็นข้ออ้างให้ไม่ทำอะไรหลายอย่าง

ต้องมีผลเสียเป็นตัวกระตุ้นหรือ?

ผมอยากจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ภาวะ” หรือ “สภาวะ” ในเวลาที่ความคิดของเราอยากจะได้หรืออยากทำอะไรสักอย่างที่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่สิ่งที่ทำเสร็จได้ในทันที หรือไม่ใกล้ตัว เราก็ไม่เริ่ม ไม่ทำ หรือปล่อยค้างบนคำว่า “ถ้า” หากทบทวนกันดูแล้วเราจะพบว่า ในภาวะนั้นแรงกระตุ้นเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแรงกระตุ้นนี้จะเป็นจากปัจจัยภายในหรือภายนอกก็ตามแต่
ยกตัวอย่างในมุมหนึ่งว่า หากเรานั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่เดิมนานพอ จนเมื่อย จนเป็นเหน็บชา หรืออะไรทำนองเดียวกันนี้ เราก็คงต้องขยับ หรือลุกขึ้น เราคงจะไม่มีคำว่า “ถ้า” มาแทรกในภาวะแบบนี้ ประมาณว่า “ถ้า(อะไรสักอย่าง) แล้วค่อยขยับตัว เพราะในตอนนั้นมีความเมื่อยล้า เจ็บปวด หรือเหน็บชา มาเป็นตัวกระตุ้นแล้ว

แต่ถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้น ยังไม่เมื่อย ยังไม่เป็นเหน็บชา เราก็ยังไม่ขยับ หลายคนคงทราบว่าการที่เราอยู่กับที่นาน ๆ เป็นผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว.. ใช่แล้ว พอมันเป็นเรื่อง “ในระยะยาว” นี้เอง มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่รู้สึกมีแรงกระตุ้น จนกว่าร่างกายจะส่งผล เรียกร้องให้กระทำ ซึ่งเมื่อร่างกายบังคับแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ใช่สัญญาณที่ดี ย่อมเกิด “ผลเสีย” ต่อเราไปแล้ว หรือสรุปง่าย ๆ ตรงนี้คือ “ผลเสียคือตัวกระตุ้น” ที่สามารถกระตุ้นให้เราไม่มีคำว่า “ถ้า” ได้.. แสดงว่าต้องให้เกิดผลเสียก่อนสินะ…

คนที่ไม่สามารถกำหนดชีวิตตัวเองได้ จึงใช้คำว่า “ถ้า”

ในชีวิตประจำวันของหลายคน ก็ไม่ได้เต็มใจทำในสิ่งที่ทำอยู่ เช่นงานประจำ ทำไปอย่างนั้นเอง “ถ้ารวยก็คงไม่ทำงานนี้หรอก” หลายคนเป็นเช่นนี้ ซึ่งคำว่า “ถ้ารวย” นี่เอง ก็เป็นเรื่องระยะยาว และยากที่จะมีแรงกระตุ้น แต่เมื่อเริ่มขาดเงินใช้สอย หรือรู้อยู่แก้ใจในเชิงเป็นแรงกดดันว่าทุกวันต้องหาเงิน จึงไม่ลังเลที่จะทำงานตามแรงกระตุ้นระยะสั้น ที่ไม่ได้ทำเพื่อ “รวย” ในระยะยาว พอจะคิดตามทันไหม?

ในมุมของการทำงานบ้าง หลายครั้งเราก็ทำไปเช่นนั้นเอง ไม่ละเอียด หรือ ไม่ยอมให้เสร็จง่าย ๆ บนคำว่า “ถ้า” เหล่านี้

“ถ้ามีเวลามากกว่านี้ก็ดีกว่านี้..”
“ถ้าลูกค้าไม่แบบนั้น แผนกโน้นไม่แบบนี้..”
“ถ้ามีเครื่องมือดีกว่านี้..”
“ถ้างานนี้สำคัญจริงก็จะตั้งใจกว่านี้..”
“ถ้าทำไปแล้วได้เงิน ได้ผลประโยชน์มากกว่านี้ก็จะดีกว่านี้..”

จนกว่าจะถูกเจ้านาย ตำหนิ เตือน เร่ง จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ละเอียด หรือเสร็จเร็วขึ้นได้

เราคงไม่เคยมานั่งหาเหตุผลว่าทำไมจึง ละเลย, ไม่ทำ, ละทิ้งบางสิ่งไป ทั้งที่หลายสิ่งอาจจำเป็นต่อปัจจุบันและอนาคต แต่เราก็ยัง “ถ้า” กับมันอยู่ ที่สุดแล้ว อนาคต หรือหลายเป้าหมายของชีวิตจึงต้องเลือนหายไป (ตัวผมเองด้วยที่ไม่ได้ทำอะไรหลายอย่าง) เพียงเพราะไม่มีอะไรมากระตุ้นหรือต้องรอให้มีอะไรมากระตุ้น ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งเห็นสิ่งที่พลาดไปในอดีตง่ายกว่า และเป็นเรื่องยากสำหรับคนอายุยังน้อย เพราะอาจยังเสียอะไรไปไม่พอ (แน่นอนว่าหลายคนอายุน้อยก็คิดได้ หลายคนอายุมากก็ไม่เคยรู้ตัว)

เรามักใช้ชีวิตประจำวันไปตามแรงกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมหรือปัจจัยพื้นฐานของเราเอง เช่น แรงกดดันจากคนอื่น, ฐานะ, สังคม, การงาน ช่างน่าแปลกที่สิ่งที่กำหนดชีวิตของเรามาจากสิ่งอื่น และไม่ได้เกิดจากความคิดของตัวเองเป็นแรงกระตุ้นหลัก หากบางครั้งมีแรงกระตุ้นแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา เราก็ยังเลือกที่จะปล่อยมันเงียบหายไป บนความคิดที่บอกตัวเองว่า “ถ้า… คงพร้อมกว่านี้” ซึ่งมันอาจไม่มีวันพร้อมได้เลยเพราะ (ปล่อยให้) มีปัจจัยสิ่งแวดล้อมกำกับชีวิตอยู่ก่อนแล้ว…

ดังนั้นความคาดหวัง หรือสิ่งที่อยากให้เกิดในชีวิตจึงไม่เคยเป็นจริงได้ง่าย ๆ เสมือนว่าเราควบคุมและกำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้แท้จริง

จงคิดว่า “ถ้า” คือศัตรู

จากที่กล่าวมาจะสังเกตได้ว่าอะไรที่ นาน, ไกล, มีปัจจัยเยอะ หรือ มองยังไม่เห็นผลลัพธ์ เราจะไม่อยากทำ มันเป็นเรื่องปกติ เพราะขาดแรงจูงใจ แรงกระตุ้นอันต่อเนื่อง หรือจะให้มีแรงจูงใจตลอดก็เป็นเรื่องยาก ทางแก้อย่างหนึ่งจากบทความเรื่องนี้ก็คือ ไม่ต้องหาแรงจูงใจ แต่มองเห็นศัตรู

เมื่อใดที่เราคิดได้ว่าต้องการสิ่งใด และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำในวันนี้ หรือเพื่อวันข้างหน้า จงจับคำว่า “ถ้า” ในคำพูดหรือความคิดในใจตนเอง แล้วรีบหยุดตัวเองที่จะอ้างเช่นนั้น “หาวิธี” ลบคำว่าถ้าออกไป ในทำนองว่า ถ้าไม่ต้องมีถ้าล่ะ เราจะทำอย่างไร เตือนตัวเองซ้ำ ๆ ว่านี่คือ “ถ้า ที่ไม่เข้าท่า” เชื่อว่า นี่จะเป็นการพัฒนาตนเองที่ดีมากประการหนึ่ง

ณ เวลานี้หากถามว่า เราจะลองทำสิ่งนี้ดูหรือไม่ หรือถ้าอ่านแล้ว เรายัง “ถ้า” ในใจ นั่นแสดงว่า “ถ้า” ก็ยังอยู่ “ถ้าที่ไม่เข้าท่า” นี้ “ถ้าเลิกได้” เท่านั้น มันจะมีค่า..

เหมือนที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อเตือนตนเองแท้ ๆ เลย เพราะหลายสิ่งที่ผ่านมาในช่วงก่อนหน้านี้ผมจัดการอะไร ๆ ได้ค่อนข้างแย่ อ้างเพียงว่า “ถ้า” มากไป เพราะอีกคำสำคัญคือ มากน้อยไม่เป็นไร ให้ได้ทำ ดีกว่าถ้า… แล้ว ปรากฏว่า ไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นเลย

ศัตรูที่ร้ายกว่า “ถ้า” คือหลอกตัวเองว่ามีเหตุผล..

สรุปซ้ำ

  1. อย่าต้องให้ผลเสียเกิดขึ้นก่อน มาเป็นตัวกระตุ้นนั่นหมายถึงอาจเสียสิ่งดีไปแล้ว
  2. คนที่ไม่สามารถกำหนดชีวิตตัวเองได้ จึงใช้คำว่า “ถ้า”
  3. มากน้อยไม่เป็นไร ให้ได้ทำ ดีกว่าถ้า… แล้ว ปรากฏว่า ไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นเลย
  4. “ถ้า” คือศัตรูของความก้าวหน้า ระวังไว้ว่า ศัตรูที่ร้ายกว่า “ถ้า” คือหลอกตัวเองว่ามีเหตุผล..

บทความฉบับปรับปรุง เผยแพร่ครั้งแรก Facebook Sirichaiwatt เมื่อ 25/6/2019

การพัฒนาตนเอง ถ้าที่ไม่เข้าท่า
Sirichaiwatt Avatar
วิทยากร คอลัมนิสต์ นักเขียน นักคิด ที่ปรึกษา จากสายด้านธุรกิจ การตลาด สู่การจัดการบุคคลากร และว่าที่นักจิตวิทยาการปรึกษา
แสดงความคิดเห็น