จะสอนใครเขา ต้องทำเองได้และมีผลงานให้ดู ในความจริงควรเป็นเช่นนั้น การเขียนบทความนี้ ที่ปกติของคอลัมน์นี้จะแบ่งปันแง่คิดเชิงเล่าสู่ เรื่องราวในบางวันแล้ว ยังเป็นบทความที่ “จำเป็น” สำหรับตัวผมเองด้วย เพราะเป็นการทบทวน ทวนซ้ำ เหมือนบทความสิ้นปีของปีที่แล้ว (ส่งท้ายสิ้นปี 2559 (ให้เป็นปีสุดท้าย..)) เพื่อจะได้เตือนตนว่าปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร..
ดังที่ผมเขียนไปปีก่อนว่า การที่เราวางแผนให้ตัวเอง “จริงจัง” และต้อง “วางแผนเป็น” ด้วยแล้วนั้น ผลลัพธ์มักไม่ตรงตามแผนกันหรอก แต่.. จะดีกว่า หรือได้โอกาสใหม่ๆ ให้ชีวิต ปีที่ผ่านมาของผมเองก็เช่นกัน ทั้งในด้านคุณภาพชีวิต และธุรกิจที่โตขึ้นจากปีก่อน 300% ฟังดูน่าตื่นเต้น ตั้ง 3 เท่า แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ถือว่ายังไม่มากอะไร ยังไม่ถึงจุดที่เหมาะสม แต่ภาพรวมทุกอย่างแล้ว แอบก้าวกระโดด บทความดีๆ ส่วนนี้ เป็นการเขียนที่ช่วยให้ผมระลึกและชัดเจนขึ้นอีกมากทีเดียว
ปีนี้ผมวางแผนด้วย 3 โปรเจคเช่นเคย โดยจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาในการ “ลงมือทำจริงจัง” ยิ่งทำให้พบว่า ประโยชน์ของการวางแผน(เป็น) มันดีจริงๆ จนปีนี้ต้องวางแผน “เข้มข้น” ขึ้นไปอีก ความหมายในที่นี้ไม่ใช่ว่าต้องเยอะเชิงปริมาณมากมาย แต่เข้มข้น คือ ละเอียด รอบคอบ ชัดเจน ให้มากขึ้น เพราะผลลัพธ์ มันจะง่ายขึ้นตามมาจริงๆ จึงอยากมาเขียนย้ำในอีกมุมของเรื่องนี้ ที่เป็นข้อคิดจากอดีตที่ผ่านมาเพราะเมื่อก่อน ผมเป็นคนที่ วางแผน.. แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญ..
ไปไม่รอด – ไปรอด – ไปได้ดี
ในชีวิตเราทุกคน เมื่อใดที่เราไปได้ไกลพอสมควรในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วหันมาเห็นว่า ใครหรือผู้ใด ไปไม่รอด(แล้ว) ในเรื่องเดียวกัน เราจะเห็นข้อผิดพลาดของเขาอย่างชัดเจน ยิ่งหากเรา “สำเร็จ” แล้ว เราจะยิ่งค้นพบว่าการแค่ “ไปรอด” หรือไม่เจ็บตัวในเรื่องนี้ มันจะมี หัวใจ หรือหลักการไม่กี่อย่าง และรู้สึกว่าไม่ได้ยากอะไร แต่กลายเป็นเป็นว่าเขาเหล่านั้น ไม่เชื่อ ไม่สนใจ
เห็นไหม! ไม่น่าเลย! บอกแล้วไม่เชื่อ! เป็นคำซ้ำเติม ที่บางที มันก็จริง..
หลายๆ เรื่องในชีวิต ถ้าไม่นับรวมภาวะ “ไม่กล้า” , “ไม่ลองทำ” แล้ว การทำไปเลยแบบไม่มีแผน หรือคิดได้เป็นระบบกระบวนการ (เช่นนี้ เปรียบได้ว่ามีแผนในหัวเหมือนกัน) มันไม่ไปไหนหรอก ถ้ามันเป็นเรื่องเล็กๆ เราก็มักแค่หัวเราะให้กับมันทำนองว่า “พลาดว่ะ, ผิดว่ะ ฮ่าๆ” ออกมาหรืออยู่ในใจ เพราะบางทีก็มีคนบอก เตือน แต่เราดื้อ ยอมรับไปแกนๆ บ้าง เชื่อบ้าง ได้ประสบการณ์ไปบ้าง แต่ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่ มันก็กลายเป็นยากจะยอมรับตัวเอง และอาจยังดื้ออยู่
ถ้ากลับกันเป็นอีกด้าน ในด้านที่เราเป็นฝ่ายมองเห็น หรือบอกกล่าว ตักเตือน ใดๆ ก็ตามกับคนอื่นๆ ที่เราคิดว่า มันไม่น่ารอด, ทำแบบนั้นไม่ได้, แบบนี้ไม่ถูก, คำพูดแนวว่า เห็นไหม! ไม่น่าเลย! บอกแล้วไม่เชื่อ! เป็นคำซ้ำเติม ทั่วไปแล้วไม่ควรพูด ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งที่บางที มันก็จริง.. กับพวกนั้น หรือแม้แต่เราเองที่.. ไปไม่รอด
ไม่เคยเห็นผลดี เราก็ไม่เชื่อ ไม่ทำ มันก็เรื่องธรรมดา จึงเป็นที่มาของการวางแผน แต่ไม่ให้ความสำคัญ
โดยทั่วไปแล้ว ซึ่งต้องถือว่าเป็นบุคคลปกติ แม้กระทั่งตัวผมเอง นับสิบปีที่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่ไม่เคยเข้าใจ โชคดีที่ไม่หลอกตัวเองไปตลอดชีวิตว่า การที่ผลลัพธ์ที่ยังไม่ดี เพราะการกระทำยังไม่ถูก หรือไม่ดีพอ จึงเปลี่ยนตัวเอง พัฒนาตัวเองเรื่อยมา “การวางแผน” ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่แรกๆ ก็ไม่คิดว่าสำคัญ มันก็เป็นเรื่องปกติ อะไรที่เราคิดหรือทำแล้ว ไม่เคยเห็นผลดี เราก็ไม่เชื่อ ไม่ทำ มันก็เรื่องธรรมดา แต่บางทีได้ยินเขาว่า ได้เจอตำรา หรือรู้สึกเอาว่า มันก็ยังจำเป็นอยู่ มันต้องทำ ก็เลย(เหมือนจะ)วางแผนไปบ้าง จึงเป็นที่มาของการวางแผน แต่ไม่ให้ความสำคัญ
ผมชอบคิดว่า “วางแผนในหัวก็พอ” คร่าวๆ ก็พอ เพราะยังไงมันก็ช่วยได้ไม่มาก หรือมักไม่เป็นไปตามแผนอยู่ดี
ก็วนไปอีก เมื่อเริ่มเห็นว่าสำคัญ.. แต่วางแผนไม่เป็น มันก็ไม่ได้เรื่องอีก ก็ไม่เอาไม่อยากจริงจัง เสียเวลา!.. คิดว่าแก้ปัญหาเก่งเป็นพอ หรือทั่วไปแล้ว บางทีเราทุกคนเป็นคนมีแผน แต่ชอบคิดว่า “วางแผนในหัวก็พอ” คร่าวๆ ก็พอ เพราะยังไงมันก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก หรือมักไม่เป็นไปตามแผนอยู่ดี นี่ก็ไม่ผิดอะไร และเป็นตามธรรมชาติทั่วไปด้วยซ้ำ จึงมีคนอยู่ได้ อยู่รอด ไปได้เรื่อยๆ มากมายในสังคม ไม่ต้องเป็นห่วงใคร เพราะยังไงเขาหรือคุณก็.. ไปรอด
แต่ในท้ายที่สุดแล้วคนเราย่อมอยาก ไปได้ดี ไปได้สวย แต่แค่วางแผนแล้วจะไปได้ดีจริงหรือ? มันง่ายขนาดนั้นจริงหรือ? ต้องวางแผนขนาดไหน? ไม่วางแผนไม่สำเร็จเชียวหรือ? เวลาที่เราอ่านตำราพวกพัฒนาตนเองนั้น เขาก็มักให้วางแผน หรือมีเป้าหมาย สิ่งสำคัญหนึ่งคือ “เห็นภาพชัดเจน” ซึ่งแค่คำว่าวางแผนมันง่ายและคุ้นเคย คิดเอาในหัว มโนเอาก็ได้ แต่ให้เห็นภาพชัดเจนนี่แหละ ยุ่งยาก ซับซ้อน และคือเงื่อนไขความสำเร็จที่แท้จริง
ประเด็นแท้จริงแล้วมันก็อยู่ตรงนี้แหละว่า ไปรอด กับ ไปได้สวย มันต่างกันมากมาย คนสำเร็จจึงมีน้อย และคนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไม่สำเร็จ แต่เป็นแบบก็อยู่ไปได้ และไปรอด ที่ไม่ใช่หมายความแค่เรื่องการเงิน หรือเน้นความมั่งคั่ง ซึ่งจะใช่ก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วมันควรหมายถึง คุณภาพชีวิตที่ก้าวหน้าไปได้สวย ซึ่งจะวัดจากปัจจัยอะไรก็แล้วแต่บุคคล
การวางแผนที่ดีเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย และเงื่อนไขแต่ละคน และเห็นภาพชัดได้อย่างไร ก็ต้องถามใจแต่ละคนด้วยอีกที หากต้องการวิธีจริงๆ มีมากมายหลายกูรู เพียงแต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว หลายคนเคยชินกับการไปรอด จึงไม่เดือดร้อนที่จะพัฒนาอะไร จนกว่าจะไปไม่รอดเมื่อไหร่ถึงหาวิธีเปลี่ยนอะไรสักอย่างก็เท่านั้น และคำว่าส่วนใหญ่ มันก็ทำให้เราไม่รู้สึกผิดแปลก แตกต่างอะไรทั้งที่ในใจทุกคนอยาก.. ไปได้ดี กว่าที่เป็น
คนสำเร็จจึงมีน้อย และคนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไม่สำเร็จ แต่เป็นแค่ อยู่ได้ ไปเรื่อยๆ..
บทความคอลัมน์นี้แม้จะเล่าเรื่องราวแง่คิดของตัวเองที่เกิดขึ้นมาในช่วงหนึ่ง แต่เป้าหมายสำหรับผมนั้นมันก็คงเป็นเรื่องส่วนตัวประมาณหนึ่ง เพียงแต่เพื่อให้ระลึกถึงจึงเขียนเตือนตัวเองอีกทีว่าปีนี้ มีโปรเจค 3 แต่เสริมว่า โปรเจคงานและยังมีเป้าหมายให้การใช้ชีวิตอีกด้วย เช่น ได้ไปเที่ยวพักผ่อนปีละกี่ครั้งทำนองนั้น Life Balance ชีวิตต้องสมดุลย์ แต่เอาเป็นโปรเจคหลักไปก่อนแล้วกันว่า
- โปรเจค 1 คือ ตั้งฐานบริษัทใหม่ให้เป็นรูปร่าง – ที่จริงๆ ก็เป็นรูปร่างมาบ้างแล้ว นี่คือผลลัพธ์ที่เกินคาดจากปีก่อน รวมถึงยอดขายคาดการณ์ไว้ว่าต้องเป็น 2 เท่าจากปี 60 (นี่หมายถึง 6 เท่าจากปีแรก ปีแรกน้อยมาก..)
- โปรเจค 2 คือ ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์(งานบริการ)ที่ตั้งใจ – นี่ก็เป็นสิ่งที่ก้าวหน้าจากปีก่อน และคือโปรเจคที่ 2 ของปีแรกที่แล้วที่พับไปแต่ปัดฝุ่นขึ้นมาได้และจะขยายกว่าที่คิดไว้เดิม นี่ส่งผลให้โปรเจค 1 จะง่ายขึ้นมาก
- โปรเจค 3 คือ ตั้งโปรเจคใหม่ภายในไตรมาส สุดท้ายของปี – นี่หมายถึงกิจการที่ผมทำอยู่ตอนนี้ มันไม่พอ และมันดูมีกรอบของความเติบโตอยู่ รวมๆ แล้วมันจึงยังไม่เพียงพอ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว 1 ร้านที่ทำเลห่างไกลตัวเมือง ขายดีแค่ไหน มันก็ได้ยอดขายแค่ ณ จุดหนึ่ง หรือยากเกินไปที่จะให้มากกว่านั้น
- โปรเจคพิเศษ.. จะว่าไปแล้วผมเป็นพวกอยู่ไม่สุข เพียงแต่ถ้าเราไม่โฟกัสอะไรเลย เราก็จะไปเรื่อย ๆ ดีบ้างไม่ดีบ้างตามประสา แน่นอนว่าต้องใส่ใจโปรเจคหลักๆ ก่อน แต่ระหว่างทางผมก็ทำอะไร เชิงเล่น เชิงร่วม กับเพื่อน เชิงทดลอง เรื่อยมา และนี่จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้ และมันจะนำไปสู่ โปรเจคที่ 3 ได้ในปลายปี ที่จะทำมันอย่างจริงจัง
ที่เขียนนี้ย้ำว่า เป็นแค่การตั้งเป้าให้ตัวเองแบบ คร่าวๆ เพื่อเตือนให้เห็นอีกทีในปีหน้า แต่แผนการ หรือการวางแผนประจำปีของผมจริงๆ เขียนและทำไว้ข้างนอกโดยละเอียดชัดเจนกว่านี้มาก ก็เพราะผมไม่อยากแค่ไปรอด และกำลังสนุกกับการ ไปได้สวยจากปีที่ผ่านมา เท่านั้นเอง